สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (30 เม.ย.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคที่ขยายตัวแข็งแกร่งที่สุดในรอบ 3 ปี นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนจากข่าวน้ำมันรั่วไหลที่อ่าวเม็กซิโก
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 98 เซนต์ ปิดที่ 86.15 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 86.25-86.25 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนพ.ค.ดีดขึ้น 3.73 เซนต์ ปิดที่ 2.2888 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 4.07 เซนต์ ปิดที่ 2.3963 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ปิดบวก 54 เซนต์ แตะระดับ 87.44 ดอลลาร์/บาร์เรล
ตลาดน้ำมันนิวยอร์กได้แรงหนุนหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคไตรมาสแรกปีนี้ ดีดตัวขึ้น 3.6% ทำสถิติขยายตัวแข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2550 และมากกว่าไตรมาสสี่ปีที่แล้วที่ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคขยายตัวเพียง 16%
ความแข็งแกร่งของตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสแรกปีนี้ของสหรัฐ ขยายตัวในอัตรา 3.2% ต่อปี แต่ยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัว 3.4% ต่อปี และต่ำกว่าไตรมาสสี่ปีที่แล้วที่ขยายตัว 5.6% ต่อปี
นอกจากนี้ นักลงทุนยังเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบหลังจากมีรายงานว่า เหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลจากบ่อน้ำมันของบริษัทบีพีในอ่าวเม็กซิโก ทำให้บีพีสูญเสียน้ำมันดิบจำนวนมากถึง 5,000 บาร์เรล/วัน ซึ่งสูงกว่าที่สำนักงานสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐ (NOAA) ประเมินไว้ที่ระดับ 1,000 บาร์เรล/วัน ถึง 5 เท่า
การรั่วไหลดังกล่าวเกิดขึ้น เนื่องจากเกิดการระเบิดจนเป็นเหตุให้แท่นขุดเจาะน้ำมัน Deepwater Horizon ของบริษัทบีพีจมลงในช่วงกว่าหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยจุดที่เกิดอยู่ห่างจากชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองนิวออลีนส์ประมาณ 130 ไมล์ ส่งผลให้เกิดคราบน้ำมันลอยเป็นแพในรัศมี 16 ไมล์นอกชายฝั่ง และทำให้บีพีต้องจ่ายเงินวันละ 6 ล้านดอลลาร์เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดน้ำมันที่รั่วไหลและเพื่อหยุดการรั่ว โดยครอบคลุมถึงการใช้เครื่องบินโปรยสารเคมี การใช้กระบวนการให้กลายเป็นไอ (evaporation) และกระบวนการอื่นๆทางธรรมชาติ เพื่อสลายคราบน้ำมัน