ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยางพารายอมหั่นรายได้ลงขันสมทบกองทุนวิจัย

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday May 6, 2010 18:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยางพาราเตรียมลงขันตั้งกองทุนวิจัย โดยยอมให้หักเงิน 0.25-0.50% ของยอดส่งออกเข้าสมทบกองทุนวิจัย เพื่อให้เกิดงานวิจัยเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยางพาราอย่างครบวงจร

"ภาคเอกชนเราคาดหวังให้มีการทำวิจัยระยะยาว โดยอาจใช้เงิน 20 ล้านบาทที่รัฐบาลจะให้มาเป็นเงินทุนประเดิมในการตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา และภาคเอกชนซึ่งมียอดการส่งออกยางพาราปีละเป็นแสนล้านยินดีให้รัฐบาลหัก 0.25-0.5% ของยอดส่งออกตั้งเป็นกองทุน...ภาคอุตสาหกรรมต้องการงานวิจัยทางด้านวิศวกรรมการผลิตด้วย ไม่ใช่งานวิจัยด้านการคิดผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างเดียว" นายรัก ปิตาสัย เลขาธิการสมาคมผู้ผลิตถุงมือยางไทย กล่าว

ปัจจุบันอุตสาหกรรมยางพาราสร้างรายได้เข้าประเทศปีละเกือบ 3 แสนล้านบาท แต่รัฐบาลที่เป็นผู้กำหนดนโยบายยังไม่เห็นความสำคัญของผลิตภัณฑ์ยางพาราเท่าที่ควร ทำให้งานวิจัยยางพาราได้รับงบประมาณน้อย

"นักวิจัยจึงต้องวิจัยเรื่องเล็กๆ ในระยะเวลาสั้นๆ หน่วยวิจัยพิจารณาการให้ทุนและกำกับดูแลผลงานตามทุนวิจัยที่ให้ ตามเวลาวิจัยที่กำหนด นักวิจัยส่วนใหญ่ก็เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ทำวิจัยเป็นงานพาร์ทไทม์ ในขณะที่งานวิจัยบางอย่างทำพาร์ทไทม์ไม่ได้" นายรัก กล่าว

ด้านนายประยงค์ หิรัญญะวณิชย์ ประธานคลัสเตอร์ยางและไม้ยางพารา สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า ที่ผ่านมาเราใช้งบประมาณ องค์ความรู้ กำลังคน ไปกับงานวิจัยต้นน้ำ เช่น พันธุ์ยาง น้ำยาง พื้นที่เพาะปลูก เป็นส่วนใหญ่ แต่ภาคอุตสาหกรรมอยากเห็นการสร้างมูลค่าด้านปลายน้ำ คือ นำยางพารามาแปรรูปให้เกิดมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะสร้างความเข้มแข็งให้ภาคอุตสาหกรรมได้อย่างมาก และรู้สึกดีใจที่รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรมกำลังจะจัดตั้งสถาบันยางและผลิตภัณฑ์ไม้ยางพารา

"สิ่งที่เราขาดคือเอกภาพ บุคลากรเรื่องยางของเรามีจำกัด เงินก็มีไม่เพียงพอ ดังนั้นทุกหน่วยงานต้องร่วมกันกำหนดทิศทางและนโยบายของประเทศให้ชัดเจน และจัดลำดับความสำคัญว่าจะมุ่งส่งเสริมด้านไหน เช่น ยางล้อ ถุงมือ หรือถุงยางอนามัย เป็นต้น แล้วทุกหน่วยงานร่วมกันทำงานวิจัยโครงการใหญ่ๆ ไม่ปล่อยให้ทรัพยากรถูกดึงไปทำโครงการเล็กๆ เป็นเบี้ยหัวแตก" นายประยงค์ กล่าว

ขณะที่นายชโย ตรังอดิศัยกุล ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง ส.อ.ท. กล่าวว่า ประเทศไทยผลิตยางพาราได้ 3 ล้านตันจาก 10 ล้านตันที่ผลิตได้ทั่วโลก ใช้เองในประเทศเพียง 10-12% และส่งออกเป็นยางธรรมชาติถึงปีละ 1.4 แสนล้านบาท หากสามารถเพิ่มการแปรรูปยางธรรมชาติเหล่านี้เป็นผลิตภัณฑ์ได้อีกจะเกิดเป็นมูลค่าเพิ่มที่ตกอยู่ในประเทศได้อีกมากเพราะไม่ต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ

"ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ยางแปรรูปของไทย ประกอบด้วย ยางล้อรถยนต์ 60% ตามมาด้วยถุงมือ ถุงยางอนามัย ชิ้นส่วนยานยนต์ ยางที่ใช้ในการก่อสร้าง พวกนี้เป็นสินค้าชิ้นเล็ก น้ำหนักเบา แต่มีมูลค่าเพิ่มสูงมาก ขณะนี้ที่มาเลเซียนำหน้าไปแล้วโดยเริ่มทำยางกันแผ่นดินไหว และน่าจะมีอนาคตดี" นายชโย กล่าว

ทั้งนี้หน่วยงานของภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการให้ทุน/สนับสนุนงานวิจัยยางทั้ง 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมวิชาการเกษตร(กวก.), สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร(สวก.), สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) ได้ร่วมกันจัดประชุมวิชาการยางพาราแห่งชาติ ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 6-7 พ.ค.53 ภายใต้หัวข้อ "Value Creation สู่การพึ่งพาตนเอง"


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ