สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (10 พ.ค.) ขานรับข่าวสหภาพยุโรป (อียู) ร่วมกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ตัดสินใจปล่อยวงเงินกู้ฉุกเฉินให้กับกรีซมูลค่าเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อไม่ให้วิกฤตการณ์การเงินของกรีซลุกลามไปทั่วยุโรปและประเทศอื่นๆทั่วโลก ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวขึ้นและหนุนดีมานด์พลังงานดีดตัวขึ้นด้วย
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) เดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 1.69 ดอลลาร์ หรือ 2.25% ปิดที่ 76.80 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากขึ้นไปแตะจุดสูงสุดของวันที่ 78.51 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 4.07 เซนต์ ปิดที่ 2.1202 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 4.75 เซนต์ ปิดที่ 2.1726 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 1.85 ดอลลาร์ ปิดที่ 80.12 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจและดีมานด์พลังงานโลก หลังจากที่ประชุมชาติสมาชิกอียูอนุมัติเงินกู้ใหม่ให้กรีซมูลค่า 5.60 แสนล้านดอลลาร์ และลงมติอนุมัติเงินกู้ 7.6 หมื่นล้านดอลลาร์ที่ได้มีการเจรจาไปก่อนหน้านี้ โดยมีเงื่อนไขว่ารัฐบาลกรีซจะต้องใช้มาตรการรัดเข็มขัดเพื่อลดยอดขาดดุลงบประมาณ
นอกจากนี้ ไอเอ็มเอฟยังอนุมัติเงินกู้มูลค่า 3.21 แสนล้านดอลลาร์โดยมีเป้าหมายที่จะป้องกันไม่ให้ปัญหาหนี้สินของกรีซลุกลามไปยังประเทศอื่นๆในยุโรปและทั่วโลก ทั้งนี้ วงเงินกู้ฉุกเฉินที่ทั้งอียูและไอเอ็มเอฟอนุมัติให้กับกรีซรวมกันแล้วสูงเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์
นายชากิบ เคลิล รมว.พลังงานอัลจีเรียกล่าวว่า มาตรการคลี่คลายวิกฤตหนี้สาธารณะของกรีซจะช่วยให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกดีดขึ้นมายืนอยู่ที่ระดับ 80 - 85 ดอลลาร์/บาร์เรลในเร็วๆนี้ นอกจากนี้ นายชากิบกล่าวว่า ดีมานด์พลังงานในจีน อินเดีย และตะวันออกกลาง ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์การเงินในยุโรป และคาดว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) จะตรึงโควต้าการผลิตไว้เท่าเดิมในปีนี้
ด้านนายอับดุลลาร์ อัล-บาดรี เลขาธิการโอเปค ยังได้แสดงความเชื่อมั่นด้วยว่า มาตรการช่วยเหลือยูโรจะหนุนราคาน้ำมันให้กลับขึ้นมาอยู่เหนือ 80 ดอลลาร์/บาร์เรลเช่นกัน
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 7 พ.ค.ซึ่งกระทรวงพลังงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้น 700,000 บาร์เรล และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะลดลง 0.1%