สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (12 พ.ค.) หลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเกินคาดในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะดีมานด์พลังงานหดตัวในสหรัฐ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.ลดลง 72 เซนต์ ปิดที่ 75.65 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในระหว่างวันที่ 74.75 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนมิ.ย.ดีดขึ้น 1.90 เซนต์ ปิดที่ 2.1591 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 1.52 เซนต์ ปิดที่ 2.2104 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนมิ.ย.ดีดขึ้น 71 เซนต์ ปิดที่ 81.20 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนวิตกกังวลว่าดีมานด์พลังงานในสหรัฐยังคงหดตัวลง หลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 7 พ.ค. พุ่งขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 362.5 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.3 ล้านบาร์เรล
สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 153.8 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.3 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินร่วงลง 2.8 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 222.1 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 700,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้ กำลังการกลั่นน้ำมันลดลง 1.2% สู่ระดับ 88.4%
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังถูกกดดันหลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ออกรายงานคาดการณ์ประจำเดือน โดย IEA ได้ปรับลดคาดการณ์ดีมานด์พลังงานทั่วโลกในปี 2553 ลงสู่ระดับ 86.4 ล้านบาร์เรล/วัน
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบสามารถไต่ขึ้นจากระดับต่ำสุดของวันได้ หลังจากบริษัท เอ็กซอนโมบิล ประกาศภาวะสุดวิสัย (force majeure) ในการขนส่งน้ำมันดิบจากไนจีเรีย ซึ่งอาจส่งผลให้ซัพพลายในตลาดน้ำมันแอตแลนติกตกอยู่ในภาวะตึงตัวมากขึ้น
ภาวะสุดวิสัยเป็นส่วนหนึ่งที่ระบุในสัญญาซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อช่วยให้คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นอิสระจากข้อบังคับทางกฎหมาย เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ อาทิ ข้อพิพาทด้านแรงงาน การก่อการร้าย และภัยพิบัติทางธรรมชาติ