สัญญาน้ำมันดิบปิดบวกเมื่อคืนนี้ (19 พ.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะดีมานด์พลังงานหดตัวในสหรัฐ อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นในกรอบที่จำกัด เพราะตลาดยังถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินในยุโรป
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 46 เซนต์ หรือ 0.66% ปิดที่ 69.87 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 69.95 - 69.06 ดอลลาร์
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX เดือนมิ.ย.จะครบกำหนดส่งมอบในวันพฤหัสบดี และเมื่อคืนนี้นักลงทุนจำนวนหนึ่งได้ย้ายฐานเข้าไปลงทุนในสัญญาเดือนก.ค.กันบ้างแล้ว โดยสัญญาเดือนก.ค.ปิดที่ 72.48 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 22 เซนต์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนมิ.ย.ลดลง 1.63 เซนต์ ปิดที่ 1.9452 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนมิ.ย.ลดลง 2.79 เซนต์ ปิดที่ 2.0152 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์เดือนก.ค.ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ลดลง 74 เซนต์ หรือ 1.0% ปิดที่ 73.69 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหาภาวะดีมานด์พลังงานหดตัวในสหรัฐ หลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 14 พ.ค.เพิ่มขึ้น 200,000 บาร์เรล น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 700,000 บาร์เรล
สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 300,000 บาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะพุ่งขึ้น 1.0 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่นที่รวมถึงเชื้อเพลิงดีเซลและฮีทติ้งออยล์ ลดลง 1.0 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่คาดว่าจะร่วงลง 1.1 ล้านบาร์เรล
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนเม.ย.ลดลง 0.1% ทำสถิติลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 13 เดือน หลังจากราคาพลังงานร่วงลงอย่างหนัก ขณะที่ดัชนี CPI พื้นฐาน (core CPI) ซึ่งไม่นับรวมราคาในหมวดอาหารและพลังงาน ทรงตัวในเดือนเม.ย.
ข้อมูลของกระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่า ราคาพลังงานในเดือนเม.ย.ร่วงลง 1.4% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักสุดในรอบกว่า 1 ปี ขณะที่ราคาอาหารดีดตัวขึ้น 0.2%