สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (1 มิ.ย.) หลังจากจีนและสหรัฐเปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ว่าภาคการผลิตชะลอตัวลง นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่าปัญหาหนี้สาธารณะอาจลุกลามไปทั่วยุโรป รวมถึงอัตราว่างงานในกลุ่มยูโรโซนที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในเดือนเม.ย.
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.ค.ร่วงลง 1.39 ดอลลาร์ หรือ 1.88% ปิดที่ 72.58 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 71.64 - 75.33 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินเดือนก.ค.ลดลง 4.41 เซนต์ ปิดที่ 1.9825 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนก.ค.ดิ่งลง 3.41 เซนต์ ปิดที่ 1.9704 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.ค.ร่วงลง 1.94 ดอลลาร์ ปิดที่ 72.71 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนเทขายสัญญาน้ำมันดิบหลังจากจีนและสหรัฐเปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ว่าภาคการผลิตชะลอตัวลง โดยสมาพันธ์โลจิสติกและการจัดซื้อแห่งชาติของจีนเปิดเผยในวันนี้ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของภาคการผลิตประจำเดือนพ.ค. ขยายตัวที่ระดับ 53.9 จุด ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเม.ย.ที่ขยายตัว 55.7 จุด และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 54.5 จุด ซึ่งเป็นสัญญาบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนอาจขยายตัวในระดับปานกลาง
ขณะที่สำนักงานจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ค.เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 59.7 จุด ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเม.ย.ที่ระดับ 60.4 จุด นอกจากนี้ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในยุโรปยังเป็นอีกปัจจัยที่สร้างความวิตกกังวลในตลาดน้ำมันนิวยอร์ก โดยเมื่อวานนี้ สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) รายงานว่า อัตราว่างงานใน 16 ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร หรือยูโรโซน ปรับตัวสูงขึ้นแตะ 10.1% ในเดือนเม.ย. ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ หรือนับตั้งแต่ปี 2541
นักลงทุนและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จับตาดูตัวเลขจ้างงานและอัตราว่างงานเดือนพ.ค.ที่กระทรวงแรงงานสหรัฐมีกำหนดจะเปิดเผยข้อมูลจ้างงานในวันศุกร์ที่ 4 มิ.ย.นี้ โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าตัวเลขจ้างงานเดือนพ.ค.จะเพิ่มขึ้นราว 508,000 อัตรา ซึ่งจะเป็นสถิติที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2540
นอกจากนี้ นักลงทุนยังติดตามดูรายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 28 พ.ค. ซึ่งกระทรวงพลังงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันพฤหัสบดีนี้ โดยนักวิเคราะห์คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบจะลดลง 200,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 300,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 500,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันมีแนวโน้มลดลง 0.3%