สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (2 มิ.ย.) ขานรับรายงานยอดการขายบ้านที่เพิ่มขึ้นเกินคาด และกระแสคาดการณ์ที่ว่าตัวเลขจ้างงานเดือนเม.ย.ของสหรัฐจะปรับตัวเพิ่มขึ้นและอัตราว่างงานมีแนวโน้มลดลง ซึ่งทำให้นักลงทุนคาดหวังว่าภาคอสังหาริมทรัพย์และตลาดแรงงานที่ฟื้นตัวขึ้นจะช่วยหนุนดีมานด์พลังงานดีดตัวขึ้นด้วย นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในคืนวันพฤหัสบดี ตามเวลาประเทศไทย สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.ค.ดีดขึ้น 28 เซนต์ หรือ 0.39% ปิดที่ 72.86 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 71.68 - 73.93 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 3.55 เซนต์ ปิดที่ 2.0059 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 4.36 เซนต์ ปิดที่ 2.0261 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 1.04 ดอลลาร์ ปิดที่ 73.75 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX ดีดตัวขึ้นหลังจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติเปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 6.0% สู่ระดับ 110.9 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.ปี 2552 และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 5.0% เนื่องจากผู้ซื้อบ้านใช้ประโยชน์จากนโยบายลดหย่อนภาษีของรัฐบาล
กระทรวงแรงงานสหรัฐมีกำหนดจะเปิดเผยข้อมูลจ้างงานในวันศุกร์ที่ 4 มิ.ย.นี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า อัตราว่างงานเดือนเม.ย.จะลดลงสู่ระดับ 9.8% และคาดว่าตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้นราว 508,000 อัตรา ซึ่งจะเป็นสถิติที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2540
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมัน NYMEX ยังได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานในตลาดสหรัฐ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 4.3% ส่วนหุ้นบีพีดีดตัวขึ้น 3.1% เนื่องจากนักลงทุนเช้าช้อนซื้อหุ้นพลังงาน หลังจากหุ้นกลุ่มนี้ดิ่งลงอย่างหนักเมื่อหลายวันก่อน อันเนื่องมาจากปัญหาน้ำมันรั่วไหลที่เกิดขึ้นหลังจากแท่นขุดเจาะน้ำมันของบริษัทบีพีระเบิดเมื่อช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 28 พ.ค. ซึ่งกระทรวงพลังงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันพฤหัสบดีนี้ โดยนักวิเคราะห์คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบจะลดลง 200,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 300,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 500,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันมีแนวโน้มลดลง 0.3%