สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลดลงอีกเมื่อคืนนี้ (2 ก.ค.) ซึ่งเป็นการปิดลบเป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับความต่อเนื่องของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลรายงานตัวเลขจ้างงานเดือนมิ.ย.ที่ร่วงลงเป็นครั้งแรกในปีนี้ และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานที่ลดลงมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ปรับตัวลง 81 เซนต์ หรือ 1.11% ปิดที่ 72.14 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับแต่วันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 71.62 - 73.38 ดอลลาร์ในการซื้อขายระหว่างวัน
ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินเดือนส.ค.ลดลง 1.99 เซนต์ ปิดที่ 1.9777 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนส.ค.ลดลง 2.30 เซนต์ ปิดที่ 1.9155 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 69 เซนต์ ปิดที่ 71.65 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันปรับตัวผันผวนหลังจากที่กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (nonfarm payrolls) ในเดือนมิถุนายน ปรับตัวลดลง 125,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 6 เดือน และแย่กว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะลดลง 110,000 ตำแหน่ง แต่อัตราว่างงานก็ลดลงด้วยเช่นกัน จากระดับ 9.7% ในเดือนพ.ค. สู่ระดับ 9.5% ในเดือนมิ.ย.
จากนั้น กระทรวงพาณิชย์ได้เปิดเผยยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนพ.ค. ร่วง 1.4% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 9 เดือน และร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2552 ซึ่งข้อมูลดังกล่าวยิ่งเพิ่มความไม่มั่นใจต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ตลาดน้ำมัน Nymex จะปิดทำการในวันที่ 5 กรกฎาคมนี้ เนื่องในวันหยุดวันชาติของสหรัฐอเมริกา (4 ก.ค.)
นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาในวันนี้ไม่ดึงดูดให้นักลงทุนเข้าเทรด โดยเฉพาะก่อนที่ตลาดจะหยุดยาว 3 วันในช่วงสุดสัปดาห์นี้ พร้อมกับคาดการณ์ว่า ถ้าตลาดหุ้นมีเสถียรภาพในสัปดาห์หน้า ราคาน้ำมันก็อาจดีดตัวขึ้นมาที่ระดับ 74 ดอลลาร์ได้
ขณะที่นักวิเคราะห์อีกรายกล่าวว่า ปัจจัยพื้นฐานของตลาดยังเป็นลบ และถ้ายังไม่มีข่าวดีใหม่ๆออกมา เราก็อาจได้เห็นราคาน้ำมันเคลื่อนไหวที่ระดับ 70 ดอลลาร์
การจ้างงานเป็นข้อมูลเศรษฐกิจที่นักลงทุนจับตาอย่างมาก โดยเฉพาะการจ้างงานในภาคเอกชน ซึ่งในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ภาคเอกชนได้จ้างงานเพิ่มขึ้น 83,000 แต่น้อยกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ ซึ่งข้อมูลที่น่าผิดหวังเหล่านี้ยิ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ขณะที่วิกฤตหนี้ในยุโรปได้สร้างความกระทบกระเทือนต่อความต้องการพลังงานอยู่ก่อนแล้ว