สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (27 ก.ค.) หลังจากสำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.ของสหรัฐที่ร่วงลงอย่างหนัก ซึ่งทำให้เกิดความวิตกกังวลว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงอาจทำให้ดีมานด์พลังงานหดตัวลงด้วย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาริชมอนด์ระบุว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในภูมิภาคดังกล่าวชะละตัวลง
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.ย.ร่วงลง 1.48 ดอลลาร์ ปิดที่ 77.50 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 76.79 - 79.69 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนก.ย.ลดลง 3.83 เซนต์ ปิดที่ 2.0043 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 4.46 เซนต์ ปิดที่ 2.0612 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.ย.ร่วงลง 1.45 ดอลลาร์ ปิดที่ 76.05 ดอลลาร์/บาร์เรล
ตลาดน้ำมันนิวยอร์กถูกปกคลุมด้วยกระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากสำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนของสหรัฐ เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.ร่วงลงสู่ระดับ 50.4 จุด จากเดือนมิ.ย.ที่ระดับ 54.3 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน และเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 2 เดือน สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับอัตราว่างงานที่อยู่ในระดับสูงและภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากรายงานของเฟดสาขาริชมอนด์ที่ระบุว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในภูมิภาคดังกล่าวชะละตัวลง และรายงานที่ว่าพายุบอนนีอาจจะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในอ่าวเม็กซิโก
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ซึ่งกระทรวงพลังงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบจะลดลง 1.8 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้น 600,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตจะลดลง 0.6%
นอกจากนี้ นักลงทุนยังติดตามดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึงยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนมิ.ย. รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 2 ปี 2553