สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (9 ส.ค.) เนื่องจากการดีดตัวขึ้นของตลาดหุ้นนิวยอร์กช่วยกระตุ้นบรรยากาศการซื้อขายในตลาดน้ำมันนิวยอร์กให้คึกคักขึ้นด้วย หลังจากสัญญาน้ำมันดิบร่วงลงอย่างหนักเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อันเนื่องมาจากตัวเลขจ้างงานที่ร่วงลงเกินคาดของสหรัฐ
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.ย.พุ่งขึ้น 78 เซนต์ ปิดที่ 81.48 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 0.66 เซนต์ ปิดที่ 2.1538 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 0.60 เซนต์ ปิดที่ 2.1187 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.ย.พุ่งขึ้น 83 เซนต์ ปิดที่ 80.99 ดอลลาร์/บาร์เรล
ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคัก เนื่องจากนักลงทุนขานรับการดีดตัวขึ้นของตลาดหุ้นนิวยอร์ก อันเนื่องมาจากมุมมองที่เป็นบวกที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ รวมถึงการใช้นโยบายผ่อนปรนด้านการเงินเพิ่มเติม ในการประชุมเฟดซึ่งจะมีขึ้นในคืนวันอังคารที่ 10 ส.ค.ตามเวลาประเทศไทย
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed fund rate) ไว้ที่ 0 - 0.25% และอาจจะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนปรนเพิ่มเติม หลังจากรายงาน Beige Book หรือรายงานสำรวจภาวะเศรษฐกิจจากเฟดทั้ง 12 เขตในสหรัฐครั้งล่าสุดบ่งชี้ว่า อัตราการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคเป็นไปอย่างล่าช้า
สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นหลังจากร่วงลงอย่างหนักเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ภายหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า อัตราว่างงานสหรัฐทรงตัวที่ระดับ 9.5% ในเดือนกรกฎาคม ดีกว่าที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ระดับ 9.6% แต่ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรลดลงมากเกินคาด 131,000 อัตราเมื่อเทียบเป็นรายเดือน ขณะที่ภาคเอกชนเพิ่มการจ้างงานเพียง 71,000 อัตราในเดือนก.ค. ซึ่งน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ซึ่งเป็นหลักฐานล่าสุดที่บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานอยู่ในภาวะซบเซา
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ยอดค้าปลีกเดือนก.ค.ของสหรัฐจะปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน เนื่องจากรัฐบาลใช้นโยบายสร้างแรงจูงใจในการซื้อรถยนต์ และหลังจากหน่วยงานของกระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานเมื่อวันพุธที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า ดีมานด์เชื้อเพลิงโดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์ในสหรัฐอยู่ที่ 19.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 2% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่สต็อกน้ำมันดิบร่วงลง 2.8 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 357.9 ล้านบาร์เรล
นโยบายสร้างแรงจูงใจของรัฐบาลสหรัฐช่วยหนุนยอดขายรถยนต์เดือนก.ค.ในสหรัฐ พุ่งขึ้น 5.2% สู่ระดับ 1,050,101 คัน ทำสถิติเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 โดยยอดขายของจีเอ็ม เพิ่มขึ้น 6.4% สู่ระดับ 199,602 คัน ซึ่งยังคงครองแชมป์ค่ายรถยนต์ที่มียอดขายอันดับหนึ่ง ขณะที่ยอดขายของฟอร์ด มอเตอร์ เพิ่มขึ้น 4.8% สู่ระดับ 165,889 คัน และยอดขายของไครสเลอร์เพิ่มขึ้น 5.0% สู่ระดับ 93,313 คัน