สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (11 ส.ค.) เนื่องจากสต็อกน้ำมันเบนซินของสหรัฐที่สูงขึ้น ขณะที่จีนได้เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ประกอบกับสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ปรับเพิ่มคาดการณ์ความต้องการน้ำมันดิบทั่วโลกของปี 2553 และ 2554 เพียงเล็กน้อย ส่งผลให้เกิดความกังวลว่าความต้องการน้ำมันทั่วโลกจะอ่อนตัวลง
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.ย.ร่วงลง 2.23 ดอลลาร์ ปิดที่ 78.02 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากดิ่งลงไปแตะระดับต่ำสุดในระหว่างวันที่ 79.20 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนก.ย.ลดลง 5.02 เซนต์ ปิดที่ 2.0752 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนก.ย.ลดลง 8.77 เซนต์ ปิดที่ 1.9976 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.ย.ร่วงลง 1.96 ดอลลาร์ ปิดที่ 77.64 ดอลลาร์/บาร์เรล
กระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินของสหรัฐเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้นอีก 400,000 บาร์เรล มาอยู่ที่ 223.4 ล้านบาร์เรล ซึ่งถือเป็นสถิติที่สูงสุดเหมือนกับช่วง 6 ส.ค.ปีที่แล้ว ขณะที่สต็อกน้ำมันดีเซลและน้ำมันฮีทติ้งออยล์ปรับตัวขึ้น 3.5 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักลงทุนไม่ได้ให้ความสนใจกับสต็อกน้ำมันดิบที่ลดลงมากกว่าคาดการณ์เท่าไรนัก
สำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ว่า ความต้องการน้ำมันทั่วโลกจะสูงขึ้นกว่าที่ได้มีการประเมินไว้ก่อนหน้านี้ แม้ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจปีหน้าจะชะลอตัวลง โดยความต้องการน้ำมันดิบทั่วโลกจะอยู่ที่ 87.9 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2554 ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าการคาดการณ์เมื่อเดือนที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม IEA ระบุว่า ยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านลบที่ความต้องการจะชะลอตัวลง เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ไม่มีความแน่นอน โดยเศรษฐกิจโลกปีนี้อาจขยายตัว 4.5% และปีหน้าอาจขยายตัว 4.3% ซึ่งความกังวลที่ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงจากช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงด้านลบที่สำคัญสำหรับการคาดการณ์