สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) หลังจากมีรายงานว่า บริษัทเอนบริดจ์ เอนเนอร์จี พาร์ทเนอร์ ตัดสินใจปิดท่อส่งน้ำมันที่ลำเลียงไปยังโรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งในเขตมิดเวสต์ของสหรัฐ ซึ่งข่าวดังกล่าวกระตุ้นให้นักลงทุนแห่ซื้อสัญญาน้ำมันดิบเพราะคาดว่าซัพพลายพลังงานในพื้นที่ดังกล่าวอาจเผชิญกับภาวะตึงตัว
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 2.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 76.45 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 3.60 เซนต์ ปิดที่ 2.1044 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 3.77 เซนต์ ปิดที่ 1.9731 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 69 เซนต์ ปิดที่ระดับ 78.16 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนแห่เข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบอันเนื่องมาจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าจะเกิดภาวะซัพพลายตึงตัว หลังจากนางเทอร์รี ลาร์สัน โฆษกหญิงของเอนบริดจ์ เอนเนอร์จี พาร์ทเนอร์ บริษัทพลังงานในเครือของเอนบริดจ์ อิงค์ของแคนาดายืนยันว่า ทางบริษัทต้องปิดท่อส่งน้ำมันที่ลำเลียงไปยังเขตมิดเวสต์ของสหรัฐ เนื่องจากพบรอยรั่วซึม และยังไม่มีการยืนยันว่าจะเปิดท่อส่งน้ำมันได้อีกเมื่อใด
แม้ทางการสหรัฐระบุว่าสต็อกน้ำมันเบนซินในรอบสัปดาห์ที่แล้วยังมีอยู่มาก แต่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่คาดว่าการปิดท่อส่งน้ำมันของเอนบริดจ์อาจทำให้เกิดภาวะซัพพลายตึงตัวในเขตมิดเวสต์ และสถานการณ์ดังกล่าวอาจยืดเยื้อออกไปอีกหากทางบริษัทล่าช้าในการแก้ปัญหารั่วซึม
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนจากรายงานของสำนักงานศุลกากรของจีน (GAC) ที่ระบุว่า ยอดส่งออกเดือนส.ค.ของจีนทะยานขึ้น 34.4% ต่อปี สู่ระดับ 1.393 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนยอดการนำเข้าเพิ่มขึ้น 35.2% ต่อปี สู่ระดับ 1.1927 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแข็งแกร่งกว่าเดือนก.ค.ที่ขยายตัวเพียง 12.5%
สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ความต้องการน้ำมันทั่วโลกในปี 2553 เป็น 86.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 50,000 บาร์เรลจากรายงานคาดการณ์เมื่อเดือนที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรลเมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนความต้องการในปีหน้านั้น IEA คาดว่าจะอยู่ที่ 87.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรลจากปีก่อน