Analysis: ทองคำทำนิวไฮเหนือ $1,300 คาดกระแสตื่นมาตรการ QE อาจดันทองพุ่งทะลุ $1,400 เร็วๆนี้

ข่าวต่างประเทศ Monday October 4, 2010 11:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่ราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำในตลาดโลกปิดเหนือแนวต้านทางจิตวิทยาที่ระดับ 1,300 ดอลลาร์/ออนซ์เมื่อวันอังคารที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา จากนั้นสัญญาทองคำก็พุ่งขึ้นทะลุระดับ 1,310 ดอลลาร์ และ 1,320 ดอลลาร์ไปได้อย่างรวดเร็ว

ความจริงแล้ว ตลาดทองคำซึ่งทะยานขึ้นมานับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนส.ค.ปีนี้นั้น เป็นทางเลือกสำหรับการลงทุนที่ได้รับความสนใจมากกว่าตลาดอื่นๆ สัญญาทองคำทำนิวไฮครั้งแล้วครั้งเล่าเนื่องจากนักลงทุนต่างแข่งขันกันซื้อทองคำเพื่อเพิ่มความมั่งคั่งในพอร์ทของตนเอง สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดคำถามในหมู่เทรดเดอร์ว่า "ราคาทองจะสูงขึ้นไปจนถึงเท่าใด?"

กระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจ

ไมค์ ดาลี โบรกเกอร์จากบริษัท PFGBest ซึ่งเป็นบริษัทโบรกเกอร์ตลาดล่วงหน้ารายใหญ่ของสหรัฐ กล่าวให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดทองคำกำลังสะท้อนให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจโลกด้วย โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการฟื้นตัวอย่างล่าช้า"

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการระหว่างว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 17 ก.ย. พุ่งขึ้น 12,000 ราย แตะระดับ 465,000 ราย ซึ่งจำนวนคนว่างงานที่สูงขึ้นกำลังส่งผลกระทบต่อตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐ

ขณะที่ตัวเลขจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐบ่งชี้ว่า ยอดขายบ้านใหม่เดือนส.ค.ยังคงยืนอยู่ที่ 288,000 หลัง ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 300,000 หลัง นับเป็นสัญญาณที่สะท้อนให้เห็นว่าตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐยังคงซบเซา แม้อัตราดอกเบี้ยจำนองบ้านปรับตัวลดลงก็ตาม

นอกจากนี้ สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) รายงานว่า ดัชนีกิจกรรมภาคการผลิตของสหรัฐในเดือนก.ย.ร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 54.4 จุด ซึ่งชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับเดือนส.ค.ที่ระดับ 56.3 จุด

ไม่เพียงแต่ในสหรัฐเท่านั้น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตในกลุ่มยูโรโซน อ่อนตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 53.6 จุดในเดือนก.ย. ซึ่งชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับเดือนส.ค.ที่ระดับ 55.9 จุด และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.เป็นต้นมา

"นักลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชีย กำลังแห่ซื้อทองคำแท่งตุนไว้จำนวนมาก เพื่อรักษาสถานภาพความร่ำรวยของตนเองไว้ ภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบางทั่วโลกกำลังผลักดันให้ประชาชนแห่เข้าลงทุนในตลาดทองคำ จึงทำให้ทองคำกลายเป็นแหล่งการลงทุนที่ปลอดความเสี่ยง" ดาลีกล่าว
ความวิตกกังวลเรื่องการใช้มาตรการ QE

เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างเชื่องช้าในสหรัฐอาจทำให้รัฐบาลสหรัฐตัดสินใจใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing) หรือ QE เพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

QE เป็นมาตรการด้านการเงินที่มุ่งเน้นการเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบ ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรของรัฐบาลและทรัพย์สินประเภทอื่นๆ มาตรการ QE ถูกเปรียบเปรยว่าเป็นเหมือนการพิมพ์ธนบัตรใหม่ๆเข้าสู่ระบบการเงิน ซึ่งการดำเนินการเช่นนี้จะทำให้มูลค่าของสกุลเงินในประเทศนั้นๆอ่อนค่าลง และเพิ่มความเสี่ยงในการเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวเป็นครั้งแรกในที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดเมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า การชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อและอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ อาจทำให้เฟดจำเป็นต้องใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม ขณะที่เจ้าหน้าที่เฟดหลายคนต่างออกมาส่งสัญญาณว่า มีความเป็นไปได้ที่เฟดจะใช้มาตรการเพิ่มเติม นอกเสียจากว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น

"เมื่อใดก็ตามที่คุณอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบมากขึ้น มูลค่าของสกุลเงินก็จะลดน้อยลงด้วย มาตรการ QE จะส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ และเมื่อถึงเวลานั้น สิ่งแรกที่ผมนึกถึงคือการเข้าซื้อทองคำ เพราะทองคำและโลหะเงินมีความปลอดภัยกว่าสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทอื่นๆในยามที่เศรษฐกิจเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ" ดาลีกล่าว

โดยทั่วไปแล้ว ราคาทองคำทั่วโลกมีการซื้อขายกันในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อดอลลาร์อ่อนค่าลงจึงทำให้นักลงทุนแห่เข้าไปถือครองสกุลเงินอื่นๆที่มีมูลค่าสูงกว่าดอลลาร์ จึงทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นเมื่อดอลลาร์อ่อนค่าลง

"ในมุมมองของผมนั้น ผมเชื่อว่าสหรัฐอเมริกาสนับสนุนการอ่อนค่าของดอลลาร์ ดังนั้นดอลลาร์จึงมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลงอีก" ดาลีกล่าว
ทองคำได้ปัจจัยหนุนจากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น

นอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจแล้ว ดีมานด์ทองคำที่เพิ่มขึ้นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาทองคำในตลาดโลกทะยานขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

"สิ่งที่ยังคงเป็นปัจจัยหนุนตลาดทองคำคือดีมานด์ เทศกาลวิวาห์และเทศกาลอื่นๆในอินเดียและจีนกำลังใกล้เข้ามา ซึ่งจะทำให้ปริมาณการซื้อทองคำเพิ่มขึ้น ดีมานด์ทองคำจะเพิ่มขึ้นไปจนถึงเดือนพ.ย. ดังนั้นผมจึงคาดว่าราคาทองจะยังคงสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว"

อินเดียเป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ของโลก และโดยปกติแล้วความต้องการทองคำในอินเดียจะเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลวิวาห์ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงปลายเดือนก.ย.ไปจนถึงเดือนธ.ค. เทศกาลดังกล่าวส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นทุกๆปีนับตั้งแต่ปี 2545 และในเดือนก.ย.จะเป็นเดือนที่มีการซื้อทองคำอย่างหนาแน่นที่สุด

ราคาทองจะสูงขึ้นไปอีกเท่าใด?

สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือนักลงทุนมักแห่เข้าซื้อทองคำในช่วงที่ราคาทะยานขึ้น

แบงค์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ คาดการณ์ว่า ราคาทองคำอาจพุ่งขึ้นอีก 3% อันเนื่องมาจากกระแสคาดการณ์เรื่องการใช้มาตรการ QE ในสหรัฐ โดยราคาทองคำทะยานขึ้นไปแล้ว 8% นับตั้งแต่รัฐบาลประกาศใช้งบประมาณ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรก และคาดว่าจะมีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 มูลค่า 5-7 แสนล้านดอลลาร์

"ดีมานด์ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนราคาทองสูงขึ้น ดังนั้นการที่ราคาทองคำจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 1,400 ดอลลาร์/ออนซ์ในเร็วๆนี้จึงไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อนักลงทุนไม่รู้สึกกังวลเรื่องราคาทองในระยะสั้น พวกเขาจึงเข้าซื้อทองเพื่อลงทุนในระยะยาว ผมคาดว่าราคาทองจะพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 1,500 ดอลลาร์/ออนซ์ และคาดว่าราคาโลหะเงินจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 25-30 ดอลลาร์/ออนซ์" ดาลีกล่าว

ขณะที่ทอม การ์แลนด์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการณ์ของ PFGBest กล่าวว่า "ราคาทองมีแนวโน้มพุ่งขึ้นไปแตะที่ระดับ 2,400 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ในปีนี้ แต่ในระยะยาว"

บทความโดย จู จู, จาง เป่าผิง และ หลี่ มี่ จากสำนักข่าวซินหัว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ