ดัชนี Stoxx Europe 600 พุ่งขึ้น 1.2% ปิดที่ 303.29 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 พ.ค.
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,042.73 จุด เพิ่มขึ้น 50.04 จุด หรือ +1.25% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 8,410.73 จุด เพิ่มขึ้น 134.76 จุด หรือ +1.63% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,681.98 จุด เพิ่มขึ้น 60.92 จุด หรือ +0.92%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นหลังจากสหพันธ์พลาธิการและการจัดซื้อของจีน (CFLP) เผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนในเดือนก.ค. ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50.3 จาก 50.1 ในเดือนมิ.ย.
ทั้งนี้ นับเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกันที่ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนเคลื่อนไหวเหนือระดับ 50 และบ่งชี้ว่าภาคการผลิตของจีนยังคงมีการขยายตัว
รายงานของ CFLP ระบุว่า ดัชนีการจ้างงานในภาคการผลิตเพิ่มขึ้น 0.4% แตะที่ 49.1 และดัชนีคาดการณ์แนวโน้มธุรกิจ เพิ่มขึ้น 2.3% แตะที่ 56.4 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามีบริษัทจำนวนมากขึ้นที่มีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มธุรกิจในอีก 3 เดือนข้างหน้า
การขยายตัวของภาคการผลิตจีนช่วยกระตุ้นแรงซื้อเข้าสู่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ของยุโรป โดยหุ้นริโอทินโต พุ่งขึ้น 2.8% หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ปรับตัวขึ้น 2.2% และหุ้นแองโกล อเมริกัน ทะยานขึ้น 5.3%
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นเช่นกัน นำโดยหุ้นซอคเจน พุ่งขึ้น 10% หลังจากธนาคารเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดในไตรมาส 2 ขณะที่หุ้นลอยด์ แบงกิง พุ่งขึ้น 8.1%
อย่างไรก็ตาม หุ้นเชลล์ ซึ่งเป็บบริษัทพลังงานรายใหญ่ของยุโรป ร่วงลง 4.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรไตรมาส 2 ปีนี้ ร่วงลงสู่ระดับ 4.60 พันล้านดอลลาร์ จากไตรมาส 2 ปีที่แล้วที่ระดับ 5.74 พันล้านดอลลาร์