ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 15,425.51 จุด ลดลง 72.81 จุด หรือ -0.47% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,691.42 จุด ลดลง 6.06 จุด หรือ -0.36% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 3,660.11 จุด ลดลง 9.01 จุด หรือ -0.25%
ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงทั้งสิ้น 1.5% ดัชนี S&P ปรับตัวลง 1.1% และดัชนี NASDAQ ลดลง 0.8%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวลงหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจของสหรัฐร่วงลง 0.2% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 หลังจากที่อ่อนตัวลง 0.6% ในเดือนพ.ค.
นอกจากนี้ ตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลหลังจากเจ้าหน้าที่เฟดหลายคนได้ออกมาส่งสัญญาณเรื่องการลด QE โดยนายเดนนิส ล็อคฮาร์ท ประธานเฟดสาขาแอตแลนตากล่าวว่า เฟดอาจเริ่มลดปริมาณการซื้อพันธบัตรในช่วงแรกในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินครั้งใดครั้งหนึ่งที่เหลืออยู่ในช่วงปีนี้ ซึ่งเฟดยังมีกำหนดการประชุมอีก 3 ครั้งในปีนี้
ด้านนายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก ได้กล่าวว่า เขาไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่เฟดจะชะลอมาตรการกระตุ้นทางการเงินโดยการลดขนาดแผนการซื้อพันธบัตรวงเงิน 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของเฟดในเดือนก.ย.นี้
อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงหนุนในระหว่างวันจากข้อมูลเศรษฐกิจจีน โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนในเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 0.88% จากเดือนมิ.ย. และหากเทียบรายปี ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมดีดตัวขึ้น 9.7% หลังจากเพิ่มขึ้นในอัตรา 8.9% ในเดือนมิ.ย.
ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีน ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญ ขยายตัว 2.7% ในเดือนก.ค.เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับเมื่อเดือนมิ.ย.
หุ้นแก๊ป อิงค์ ในกลุ่มค้าปลีก ร่วงลง 3.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่ายอดขายในเดือนก.ค.ขยับขึ้น 1% ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.6% ขณะที่หุ้นเจซี เพนนี ร่วงลง 5.8% หุ้นแอปเปิล อิงค์ ร่วงลง 1.4%