หลังจากตลาดเปิดทำการได้ไม่นาน ดัชนีดาวโจนส์บวก 115 จุด หรือ 0.8% แตะที่ 14,925 จุด ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 18 จุด หรือ 1.1% แตะที่ 1,651 จุด และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 45 จุด หรือ 1.3% แตะที่ 3,635 จุด
นักลงทุนรอดูการเปิดเผยดัชนีภาคการผลิตเดือนส.ค.โดยสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ในเวลา 21.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะลดลงแตะ 54 จากระดับ 55.4 ในเดือนก.ค. อย่างไรก็ดี ตัวเลขที่อยู่เหนือ 50 หมายความว่า กิจกรรมภาคการผลิตยังคงมีการขยายตัว ซึ่งจะเป็นการขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3
นอกจากนี้ในเวลาเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลค่าใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนก.ค. ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น หลังจากที่ลดลง 0.6% ในเดือนมิ.ย.
ทั้งนี้ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ต่อเนื่องมาจนถึงวันจันทร์ ได้มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจากจีนและยูโรโซน แต่เนื่องจากตลาดหุ้นสหรัฐปิดทำการวานนี้ เนื่องในวันแรงงาน นักลงทุนในวอลล์สตรีทจึงเพิ่งขานรับข้อมูลบวกจากต่างประเทศในวันนี้
โดยสหพันธ์พลาธิการและการจัดซื้อของจีน (CFLP) เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ว่า กิจกรรมการผลิตของจีนได้ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในเดือนส.ค. ซึ่งนับเป็นอีกสัญญาณที่บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจจีนซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลกกำลังผ่านพ้นช่วงของการชะลอตัวที่ยืดเยื้อมานาน
รายงานระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนเพิ่มขึ้นแตะ 51.0 ในเดือนส.ค. จากระดับ 50.3 ในเดือนก.ค. ทำสถิติขยายตัว 2 เดือนติดต่อกัน และเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดสำหรับปีนี้
ด้านเอชเอสบีซี โฮลดิงส์เผยในวันจันทร์ว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนในเดือนส.ค.เพิ่มขึ้นแตะ 50.1 เทียบกับระดับ 47.7 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นการยุติการหดตัวที่ดำเนินมาเป็นเวลา 3 เดือน
ส่วนมาร์กิตเผยวานนี้ว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตของยูโรโซนในเดือนส.ค.ปรับขึ้นแตะ 51.4 จาก 50.3 ในเดือนก.ค. โดย PMI เดือนล่าสุดปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน และแตะระดับสูงสุดในรอบ 26 เดือน
ดัชนี PMI ภาคการผลิตของยูโรโซนในเดือนส.ค.ขยายตัวแตะระดับสูงสุดนับแต่เดือนมิ.ย.2554 โดยได้รับแรงหนุนจากข้อมูลภาคการผลิตของประเทศสมาชิกที่สำคัญๆ ซึ่งรวมถึง เยอรมนี อิตาลี และสเปน ที่ต่างมีการขยายตัวแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี แม้ว่าภาคการผลิตของฝรั่งเศส ที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาค จะยังคงเผชิญกับภาวะหดตัวก็ตาม