ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กแรงขายทำกำไรฉุดดาวโจนส์ปิดลบ 40.39 จุด

ข่าวต่างประเทศ Friday September 20, 2013 06:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (19 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากดัชนีดาวโจนส์ และ S&P 500 พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ภายหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจเดินหน้าใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่าจำนวนคนว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 15,636.55 จุด ลดลง 40.39 จุด หรือ -0.26% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,722.34 จุด ลดลง 3.18 จุด หรือ -0.18% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 3,789.38 จุด เพิ่มขึ้น 5.74 จุด หรือ +0.15%

ในช่วงแรกนั้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กเปิดตลาดในแดนบวก เนื่องจากนักลงทุนยังคงขานรับเฟดที่ประกาศว่าจะยังคงเดินหน้าโครงการซื้อสินทรัพย์ในวงเงินปัจจุบันที่ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน เพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ

ในการประชุมระยะเวลา 2 วันซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ 0-0.25% โดยเฟดต้องการรอดูหลักฐานที่ชัดเจนมากขึ้นว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างยั่งยืน ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนขนาดโครงการซื้อพันธบัตรซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน และยืนยันว่าจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น จนกว่าอัตราว่างงานจะลดลงแตะ 6.5% และอัตราเงินเฟ้อไม่เคลื่อนไหวสูงกว่า 2.5%

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนหลังจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติเปิดเผยว่ายอดขายบ้านมือสองเดือนส.ค. พุ่งขึ้น 1.7% แตะระดับ 5.48 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 ปีครึ่ง และตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 5.25 ล้านยูนิต บ่งชี้ว่าตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐยังคงฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กอ่อนแรงลงในเวลาต่อมา เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาเทขายทำกำไร และหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 14 ก.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 15,000 ราย แตะระดับ 309,000 ราย แต่ยังน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ่นแตะระดับ 330,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 292,000 ราย

หุ้นเจพีมอร์แกน ร่วงลง 1.24% หลังจากมีรายงานว่า เจพีมอร์แกน ตกลงจ่ายเงินราว 920 ล้านดอลลาร์เพื่อยุติคดีความกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายกำกับดูแลด้านการธนาคารของสหรัฐและอังกฤษ ในกรณีการขาดทุนของบริษัทลอนดอน เวล ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของเจพีมอร์แกน

หุ้นวอลท์ ดิสนีย์ ดิ่งลง 2.1% หลังจากมอร์แกน สแตนลีย์ ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นดังกล่าวลงมาอยู่ที่ระดับ "equalweight" จากระดับ "overweight"

หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นนิวมอนท์ ไมนิ่ง ร่วงลง 3.5% หุ้นแบร์ริค โกลด์ ร่วงลง 3.3%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ