ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กวิตกสหรัฐผิดนัดชำระหนี้ ฉุดดาวโจนส์ร่วง 159.71 จุด

ข่าวต่างประเทศ Wednesday October 9, 2013 06:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (8 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นที่จะลงทุนในตลาดหุ้น อันเป็นผลมาจากความวิตกกังวลว่าสหรัฐอาจจะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ หลังจากสภาคองเกรสยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการผ่านร่างกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้ของรัฐบาลกลาง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 14,776.53 จุด ร่วงลง 159.71 จุด หรือ -1.07% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,655.45 จุด ลดลง 20.67 จุด หรือ -1.23% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 3,694.83 จุด ลดลง 75.55 จุด หรือ -2.00%

ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงหลังจากนายจอห์น โบเนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรครีพับลีกันกล่าวว่า สภาผู้แทนราษฎรจะไม่ผ่านร่างงบประมาณชั่วคราวเพื่อยุติการปิดหน่วยงานรัฐบาลและจะไม่เพิ่มเพดานหนี้จนกว่าประธานาธิบดีบารัค โอบามา จะหันหน้ามาเจรจากัน ความเคลื่อนไหวของนายโบห์เนอร์ทำให้ตลาดวิตกกังวลว่ารัฐบาลกลางสหรัฐจะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ โดยสภาคองเกรสจำเป็นจะต้องผ่านร่างกฎหมายเพิ่มเพดานการกู้ยืมให้กับรัฐบาลกลางภายในวันที่ 17 ต.ค.นี้ มิฉะนั้นรัฐบาลกลางสหรัฐจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ได้ และจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวลงอย่างหนัก

อย่างไรก็ตาม เครดิต สวิส รีเสิร์ชเชื่อว่ามีโอกาสต่ำที่ความขัดแย้งในสภาคองเกรสจะกินเวลานาน เนื่องจากผลสำรวจความคิดเห็นของสหรัฐแสดงให้เห็นว่ารีพับลิกันกำลังถูกตำหนิอย่างหนักสำหรับการชัตดาวน์ ขณะที่เดโมแครตได้เสียงข้างมากเพิ่มขึ้นในวุฒิสภาเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งทำให้พรรคมีความชอบธรรมทางการเมือง

นอกจากนี้ ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจก็ดีกว่าช่วงที่เกิดความขัดแย้งด้านงบประมาณในเดือนส.ค.2554 อย่างมาก เนื่องจากฐานะทางการคลังของสหรัฐมีความแข็งแกร่งกว่า โดยในขณะนี้สหรัฐมียอดขาดดุลที่ 4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เมื่อเทียบกับ 10% ในช่วง 2 ปีก่อน ขณะที่การขยายตัวของจีดีพีทั่วโลกก็กำลังปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี นักลงทุนจับตาดูรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทเอกชน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าวิกฤตการณ์ด้านการคลังของสหรัฐอาจจะบดบังผลประกอบการที่สดใสของภาคเอกชน โดยในสัปดาห์นี้บริษัทที่จะรายงานผลประกอบการได้แก่ อัลโค อิงค์, เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และเวลส์ ฟาร์โก

หุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 6.7% ขณะที่หุ้นยาฮู ปรับตัวลง 3.5% และหุ้นซีร็อกซ์ ดิ่งลง 2.5%

ส่วนหุ้นอัลโค อิงค์ ปรับตัวขึ้น 1.5% ขณะที่นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ