ทั้งนี้ หลังจากตลาดเปิดทำการได้ไม่นาน ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 49.84 จุด หรือ 0.33% แตะที่ 15,175.91 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 2.84 จุด หรือ 0.17% แตะที่ 1,695.4 จุด และดัชนี Nasdaq ขยับขึ้น 6.728 จุด แตะที่ 0.18% แตะที่ 3,767.475 จุด
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นเพราะได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนมองว่า การที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกันระบุว่าจะเสนอให้ทำเนียบขาวขยายเพดานหนี้ระยะสั้นเป็นเวลา 6 สัปดาห์ เพื่อแลกกับการเจรจาในวงกว้างว่าด้วยการใช้จ่ายของรัฐบาลนั้น ถือเป็นสัญญาณบวกสู่การบรรลุข้อตกลงด้านงบประมาณ หลังจากที่ปัญหาดังกล่าวส่งผลให้สหรัฐเผชิญกับภาวะชะงักงันด้านการคลัง ซึ่งรวมถึงการปิดหน่วยงานรัฐบาลบางส่วนที่เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ การหันหน้าเข้าสู่โต๊ะเจรจาของภาคการเมืองสหรัฐยังทำให้นักลงทุนคาดหวังกันว่าสหรัฐจะไม่ต้องเผชิญกับภาวะผิดนัดชำระหนี้ ในขณะที่กำหนดเส้นตายกำลังใกล้เข้ามาในวันที่ 17 ต.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่กระทรวงการคลังสหรัฐประเมินว่ารัฐบาลกลางสหรัฐจะมีเงินพอที่จะชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ
นายเจค็อบ ลิว รัฐมนตรีกระทรวงคลังสหรัฐ และนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้แสดงความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลสหรัฐและสภาคองเกรสจะสามารถตกลงกันได้ในเรื่องการปรับเพิ่มเพดานหนี้ได้ก่อนกำหนดเส้นตายวันที่ 17 ต.ค.นี้
หุ้นเจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่สุดของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์ ปรับตัวขึ้น 0.88% แม้เจพีมอร์แกนเปิดเผยตัวเลขขาดทุนในไตรมาส 3 เป็นวงเงินสูงถึง 380 ล้านดอลลาร์ หรือ 17 เซนต์/หุ้น เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปีที่แล้วที่บริษัทสามารถทำกำไรได้ 5.71 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.40 ดอลลาร์/หุ้น
หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ร่วงลง 1.67% แม้ธนาคารเปิดเผยรายได้สุทธิพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 5.6 พันล้านดอลลาร์ หรือ 99 เซนต์ต่อหุ้นในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบเป็นรายปี