ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์บวก 54.78 จุด หรือ 0.34% ปิดที่ 16,064.77 จุด ซึ่งเป็นการปิดเหนือระดับ 16,000 ได้เป็นครั้งที่สอง
ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 8.91 จุด หรือ 0.50% ปิดที่ 1,804.76 จุด ซึ่งเป็นการปิดที่เหนือระดับ 1,800 จุดเป็นครั้งแรก หลังจากที่เมื่อ 4 วันก่อนดัชนีเคลื่อนไหวแตะระดับ 1,800 จุดในระหว่างวันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 22.50 จุด หรือ 0.57% ปิดที่ 3,991.65 จุด
สำหรับตลอดทั้งสัปดาห์ ทั้ง 3 ดัชนีต่างปรับตัวสูงขึ้น โดยดาวโจนส์บวก 0.6%, S&P 500 บวก 0.4% และ Nasdaq บวก 0.1% นอกจากนี้ ทั้งดาวโจนส์ และ S&P 500 เดินหน้าขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 7 ติดต่อกัน
หุ้นกลุ่มบริการสุขภาพในดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 1.2% นำโดยไบโอเจน ไอเดค อิงค์ ที่ทะยานขึ้นถึง 13% หลังจากยารักษาโรคเอ็มเอสของบริษัทได้รับการกำหนดให้เป็น "สารสำคัญทางตัวยาใหม่" (new active substance) ในยุโรป ซึ่งเป็นการปูทางสู่การอนุมัติวางจำหน่ายในภูมิภาคต่อไป โดยยาดังกล่าวได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นยาที่ขายดีที่สุดของบริษัทในปี 2558
ด้านหุ้นไทม์ วอร์เนอร์ เคเบิล อิงค์ ทะยาน 10% จากกระแสข่าวเรื่องเทคโอเวอร์ หุ้นยูไนเต็ด คอนติเนนตัล โฮลดิงส์ อิงค์ บวก 3.9% หลังเดวิด เทปเปอร์ มหาเศรษฐีนักลงทุนเผยว่าเขาลงทุนเป็นจำนวนมากในหุ้นกลุ่มสายการบิน
ขณะเดียวกันนักลงทุนได้ให้ความสนใจกับถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐ โดยนายเดนนิส ล็อกฮาร์ท ประธานเฟด แอตแลนต้า กล่าวว่า นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษน่าจะยังคงดำเนินต่อไป แม้หลังจากที่เฟดเริ่มลดวงเงินซื้อพันธบัตร
สำหรับวานนี้ ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ โดยมีเพียงข้อมูลตำแหน่งงานเปิดรับสมัครในสหรัฐซึ่งปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 5 ปีในเดือนก.ย. บ่งชี้ว่าผู้จ้างงานมีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับอุปสงค์ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ปิดหน่วยงานบางส่วนของรัฐบาลกลางสหรัฐ หรือชัตดาวน์ โดยกระทรวงแรงงานรายงานว่า ผู้ที่ได้รับการว่าจ้างมีจำนวนอยู่ที่ 4.59 ล้านคนในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นจำนวนที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2551 เพิ่มขึ้นจาก 4.56 ล้านคนในเดือนก่อนหน้า ขณะที่อัตราการว่าจ้างปรับตัวขึ้นแตะ 3.4% จาก 3.3%