ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,167.97 จุด เพิ่มขึ้น 292.71 จุด หรือ +1.84% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,070.06 จุด เพิ่มขึ้น 46.38 จุด หรือ +1.15% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,810.65 จุด เพิ่มขึ้น 29.65 จุด หรือ +1.66%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้นหลังจากเฟดมีมติปรับลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งล่าสุดซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อวานนี้ ด้วยการปรับลดวงเงินการซื้อพันธบัตรลง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน จากเดิมที่ระดับ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน
เฟดระบุว่า สาเหตุที่ทำให้ตัดสินใจปรับลดวงเงิน QE ในครั้งนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้น และตลาดแรงงานฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือนและตัวเลขการลงทุนทางธุรกิจปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดที่อยู่อาศัยชะลอตัวลงในบางพื้นที่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
เคนเนธ โพลคารี นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์โอนีลในรัฐนิวยอร์ก กล่าวกับสำนักข่าวซินหัวว่า เขาไม่รู้สึกประหลาดใจที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้นหลังจากเฟดตัดสินใจปรับลดวงเงิน QE เนื่องจากตลาดได้คาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และเฟดยังให้คำมั่นสัญญาณว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเอาไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ต่อไป เพื่อหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ระบุว่า ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านเดือนพ.ย.ขยายตัว 22.7% จากเดือนต.ค. สู่ระดับ 1,091,000 ยูนิต ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ และสูงที่สุดในรอบเกือบ 6 ปี โดยได้รับแรงหนุนจากการสร้างบ้านสำหรับครอบครัวเดี่ยวและบ้านสำหรับหลายครอบครัวที่ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
หุ้นกลุ่มธุรกิจสร้างบ้านทะยานขึ้นหลังจากเฟดให้คำมั่นว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไป โดยหุ้นเลนนาร์ คอร์ป พุ่งขึ้น 6.3% ส่วนหุ้นซีวีเอส แคร์มาร์ค พุ่งขึ้น 4.3%