ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลง 44.89 จุด หรือ 0.27% ปิดที่ 16,425.10 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 4.60 จุด หรือ 0.25% ปิดที่ 1,826.77 จุด ดัชนี Nasdaq ลดลง 18.22 จุด หรือ 0.44% ปิดที่ 4,113.68 จุด
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวลงหลังจากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยผลสำรวจที่ระบุว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐในเดือนธ.ค.ปรับตัวลงสู่ระดับ 53.0 จาก 53.9 ในเดือนพ.ย. และดัชนีปรับตัวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดไว้ที่ 54.5
ทั้งนี้ ดัชนีภาคบริการที่ชะลอลงในเดือนที่แล้ว มีปัจจัยถ่วงสำคัญจากดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ของ ISM ที่หตตัวลงแตะ 49.4 ในเดือนธ.ค. จาก 56.4 ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นการหดดตัวครั้งแรกนับแต่กลางปี 2552
ขณะที่ผลสำรวจของมาร์กิตระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหรัฐในเดือนธ.ค.ลดลงแตะ 55.7 จาก 55.9 ในเดือนพ.ย. และต่ำกว่าข้อมูลเบื้องต้นที่ 56.0
ส่วนดัชนี PMI รวมทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ ปรับลงเล็กน้อยสู่ระดับ 56.1 ในเดือนธ.ค. จาก 56.2 ในเดือนพ.ย. ซึ่งส่งสัญญาณถึงการปรับตัวขึ้นอยางแข็งแกร่งของกิจกรรมทั้งในภาคการผลิตและภาคบริการ เนื่องจากดัชนีที่ยังคงปรับตัวเหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะการขยายตัว แม้ว่าชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า
นักลงทุนจับตาดูกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนธ.ค.ในวันพุธนี้ ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวอยู่ที่ 7%
นอกจากนี้ เฟดจะเปิดเผยรายงานประชุมนโยบายประจำเดือนธ.ค.ในวันพุธนี้ ซึ่งในการประชุมดังกล่าวเฟดมีมติปรับลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ด้วยการปรับลดวงเงินการซื้อพันธบัตรลง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน จากเดิมที่ระดับ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน หลังจากเศรษฐกิจฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้น
หุ้นทวิตเตอร์ ร่วงลง 3.9% หลังจากนักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนลีย์แนะนำให้นักลงทุนขายหุ้นดังกล่าว เพราะคาดว่าทวิตเตอร์อาจจะสูญเสียรายได้จากการโฆษณาเป็นจำนวนเงินมากกว่าเฟซบุ๊กซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่ง
หุ้นอีเบย์ดิ่งลง 2.8% หลังจากมอร์แกน สแตนลีย์ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นอีเบย์ลงสู่ระดับ equalweight จากระดับ overweight
หุ้นเวริซอน ซึ่งเป็นบริษัทไวร์เลสรายใหญ่สุดของสหรัฐ ปรับตัวขึ้น 0.6% หลังจากบริษัทที-โมบาย ตกลงซื้อธุรกิจแอร์เวฟจากเวริซอน ไวร์เลส มูลค่า 2.4 พันล้านดอลลาร์