ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดพุ่ง 115.92 จุด รับยอดค้าปลีกสหรัฐสดใส

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 15, 2014 06:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (14 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ระบุว่า ยอดค้าปลีกเดือนธ.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,373.86 จุด เพิ่มขึ้น 115.92 จุด หรือ +0.71% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,838.88 จุด เพิ่มขึ้น 19.68 จุด หรือ +1.08% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 4,183.02 จุด เพิ่มขึ้น 69.72 จุด หรือ +1.69%

ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยับขึ้น 0.1% หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ย. เนื่องจากผู้บริโภคจับจ่ายซื้อของขวัญช่วงเทศกาล ขณะที่ร้านค้าต่างพากันลดราคาสินค้าช่วงปลายปี

รายงานของกระทรวงระบุว่า ยอดค้าปลีกในเดือนธ.ค.ได้รับแรงหนุนจากยอดขายอาหารและเครื่องดื่มที่เพิ่มขึ้น 2% ยอดขายเสื้อผ้าที่เพิ่มขึ้น 1.8% และยอดขายสินค้าออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น 1.4% นอกจากนี้ ยอดใช้จ่ายที่สถานีบริการน้ำมันปรับตัวขึ้น 1.6% ซึ่งเป็นผลมาจากราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น

นักวิเคราะห์กล่าวว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กขานรับข้อมูลค้าปลีกที่ขยายตัวเกินคาด เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนถึงตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 70% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของยอดค้าปลีกยังบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หุ้นไทม์ วอร์เนอร์ เคเบิล พุ่งขึ้น 2.7% หุ้นกูเกิล พุ่งขึ้น 2.4% ขณะที่หุ้นอินเทล ทะยานขึ้น 4%

หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น โดยหุ้นเจพีมอร์แกน ขยับขึ้นเพียง 0.07% หลังจากเจพีมอร์แกน ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่สุดของสหรัฐรายงานผลกำไรสุทธิลดลงแตะ 5.3 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4/2556 จากระดับ 5.7 พันล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า ขณะที่รายได้อยู่ที่ 2.41 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดลง 1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยค่าใช้จ่ายด้านกฎหมายส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของธนาคารในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว

ขณะที่หุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ขยับขึ้น 0.07% เช่นกัน หลังจากเวลส์ ฟาร์โก ซึ่งเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยรายใหญ่สุดของสหรัฐ รายงานผลกำไรสุทธิในปี 2556 ที่ 2.19 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อน ขณะที่ผลกำไรสุทธิไตรมาส 4 อยู่ที่ 5.6 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบรายปี โดยผลประกอบสดใสเป็นผลมาจากการขยายตัวของเงินกู้และเงินฝากที่แข็งแกร่ง คุณภาพสินเชื่อที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และระดับทุนที่แข็งแกร่งขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ