ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,481.94 จุด เพิ่มขึ้น 108.08 จุด หรือ +0.66% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,848.38 จุด เพิ่มขึ้น 9.50 จุด หรือ +0.52% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 4,214.88 จุด เพิ่มขึ้น 31.87 จุด หรือ +0.76%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ในการซื้อขายเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก รายงานว่า ดัชนีภาวะธุรกิจโดยรวม (Empire State Index) ขยายตัวสู่ระดับ 12.51 ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2555 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นแตะ 3.0 เท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่ากิจกรรมของภาคการผลิตในนิวยอร์กมีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในเดือนนี้
ทั้งนี้ บรรดาผู้ผลิตในนิวยอร์กยังมีมุมมองที่เป็นบวกต่ออนาคต โดยดัชนีคาดการณ์ภาวะธุรกิจในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ขยับลงเล็กน้อยแตะ 37.51 จาก 38.96 แต่โดยรวมยังสดใส ส่วนดัชนีความคาดหวังของลูกจ้างพุ่งขึ้นสู่ระดับ 20.73 จาก 9.64
ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐประจำเดือนธ.ค. ขยายตัว 0.4% จากเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นการขยายตัวมากที่สุดในรอบ 6 เดือน หลังจากที่หดตัวลง 2 เดือนติดต่อกัน
การขยายตัวของดัชนี PPI ในเดือนธ.ค. ถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวได้ดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว ซึ่งจะเปิดทางให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สามารถปรับลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ลงได้อีก หลังจากที่เฟดได้ตัดสินใจปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรรายเดือนลง 1.0 หมี่นล้านดอลลาร์ จากเดิมที่ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยเริ่มดำเนินการในเดือนม.ค.ปีนี้
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยบวกหลังจากแบงก์ ออฟ อเมริกา รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยระบุว่ารายได้สุทธิไตรมาส 4/2556 พุ่งขึ้นแตะ 3.4 พันล้านดอลลาร์ หรือ 29 เซนต์ต่อหุ้น เมื่อเทียบกับระดับ 732 ล้านดอลลาร์ หรือ 3 เซนต์ต่อหุ้นในไตรมาส 4/2555 ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 2.27%
ส่วนหุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โก พุ่งขึ้น 1.8% หลังจากเวลส์ ฟาร์โก ซึ่งเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยรายใหญ่สุดของสหรัฐ รายงานผลกำไรสุทธิในปี 2556 ที่ 2.19 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อน ขณะที่ผลกำไรสุทธิไตรมาส 4 อยู่ที่ 5.6 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบรายปี โดยผลประกอบสดใสเป็นผลมาจากการขยายตัวของเงินกู้และเงินฝากที่แข็งแกร่ง คุณภาพสินเชื่อที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และระดับทุนที่แข็งแกร่งขึ้น
หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ทะยานขึ้น 3% แม้ทางธนาคารเปิดเผยกำไรสุทธิในไตรมาส 4/2556 ของธนาคาร ปรับตัวลดลง 7.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 5.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งผลกำไรที่ลดลงนี้เป็นผลมาจากการที่เจพีมอร์แกนยอมตกลงจ่ายเงินมูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์ เพื่อยุติคดีและจ่ายค่าเสียหายจากข้อกล่าวหาที่ว่า ทางธนาคารได้เพิกเฉยต่อการส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่ของนายเบอร์นาร์ด มาดอฟฟ์
หุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 2.01% หลังจากมีข่าวว่าบริษัทไชน่า โมบาย จะเริ่มจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไอโฟนในวันศุกร์นี้ หลังจากทางบริษัทได้รับพรีออเดอร์แล้ว 1.2 ล้านเครื่อง