ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับตัวขึ้น 41.55 จุด หรือ 0.25% สู่ระดับ 16,458.56 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 7.19 จุด หรือ 0.39% ปิดที่ 1,838.70 จุด และดัชนี Nasdaq ร่วง 21.11 จุด หรือ 0.50% ปิดที่ 4,197.58 จุด
สำหรับตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์และ Nasdaq บวก 0.1% และ 0.5% ตามลำดับ ขณะที่ S&P 500 ลบ 0.2%
วอลล์สตรีทอยู่ในช่วงปรับฐาน หลังจากผ่านพ้นปี 2556 ที่สดใส โดยนักลงทุนกำลังพิจารณาแยกแยะข้อมูลเศรษฐกิจและผลประกอบการที่มีการเปิดเผยในระยะนี้ ซึ่งโดยรวมแล้วบ่งชี้ว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐแกร่งขึ้น
สำหรับข้อมูลที่มีการเปิดเผยในวันศุกร์นั้นมีทั้งบวกและลบ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขเริ่มสร้างบ้านร่วงลง 9.8% สู่ระดับ 999,000 ยูนิต แต่ถึงแม้จะเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2556 แต่ตัวเลขก็ยังสูงกว่าการคาดการณ์ของตลาดที่ระดับ 990,000 ยูนิต
ขณะเดียวกัน ข้อมูลจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แสดงให้เห็นว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนธ.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 1% ในเดือนพ.ย. ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของรอยเตอร์/มหาวิทยาลัย ที่ร่วงลงผิดคาดแตะ 80.4 ในเดือนม.ค. จาก 82.5 ในเดือนก่อนหน้า
ในส่วนของผลประกอบการบริษัท วาณิชธนกิจ มอร์แกน สแตนลีย์ รายงานผลกำไร 181 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4/2556 ร่วงลง 70% จากปีก่อนหน้า ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายทางกฎหมายและธุรกิจตราสารหนี้ที่อ่อนแอ
อย่างไรก็ดี หากไม่รวมรายจ่ายทางกฎหมายและรายการอื่นๆ ผลกำไรของบริษัทอยู่ที่ 50 เซนต์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ของตลาดที่ 45 เซนต์
ภายหลังการเปิดเผยผลประกอบการ หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ พุ่ง 4.38%
ส่วนหุ้นอินเทลร่วง 2.60% ซึ่งเป็นปัจจัยถ่วงดัชนีหุ้นนิวยอร์ก หลังจากที่บริษัทรายงานผลกำไรไตรมาส 4 หลังปิดตลาดเมื่อวันพฤหัสบดี ซึ่งออกมาน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐยังถูกกดดันจากการแสดงความเห็นของนายเจฟฟรีย์ แลคเกอร์ ประธานเฟด ริชมอนด์ ที่กล่าววานนี้ว่า เขาคาดว่าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 28-29 ม.ค.นี้ จะมีการหารือเรื่องการลดขนาดของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE ลงอีก 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ภายหลังจากที่เฟดมีมติลดวงเงินเบื้องต้นแล้วในการประชุมครั้งที่ผ่านมาเมื่อเดือนธ.ค.