ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 15,879.11 จุด ร่วงลง 318.24 จุด หรือ -1.96% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,128.17 จุด ลดลง 90.70 จุด หรือ -2.15% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,790.29 จุด ลดลง 38.17 จุด หรือ -2.09%
ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงทั้งสิ้น 3.5% ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลง 2.6% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวลง 1.7%
นักลงทุนเทขายหุ้นในตลาดหุ้นนิวยอร์ก เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาและภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมืองของบางประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ รวมถึงตุรกี อาร์เจนตินา และยูเครน นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ลงอีกในสัปดาห์หน้า
ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียร่วงลงติดต่อกัน 2 วันทำการในวันศุกร์ หลังจากตลาดหุ้นยุโรปดิ่งลงทั้งกระดาน โดยดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนี และดัชี CAC 40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสร่วงลงกว่า 2%
นักลงทุนจับตาดูการประชุมระยะเวลา 2 วันของเฟดซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันอังคารนี้ โดยมีการคาดการณ์ว่าเฟดจะยังคงเดินหน้าปรับลดมาตรการ QE ลงอีก หลังจากที่การประชุมเมื่อเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (เอฟโอเอ็มซี) ของเฟดมีมติปรับลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ด้วยการปรับลดวงเงินการซื้อพันธบัตรลง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน จากเดิมที่ระดับ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน
หุ้นคาเตอร์พิลลาร์ หุ้นเจนเนอรัล อิเล็กทริก และหุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 2.6% ส่วนหุ้นอินเตอร์เนชันแนล เกม เทคโนโลยี ดิ่งลง 15% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่น้อยกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
อย่างไรก็ตาม ห้นพร็อคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล พุ่งขึ้น 1.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรไตรมาส 2 ที่สูงกว่าการคาดการณ์ ขณะที่หุ้นไมโครซอฟท์ ปรับตัวขึ้น 2.1% และหุ้นจูปิเตอร์ เน็ทเวิร์คส์ ทะยานขึ้น 6.6%