ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 15,837.88 จุด ลดลง 41.23 จุด หรือ -0.26% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,781.56 จุด ลดลง 8.73 จุด หรือ -0.49% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,083.61 จุด ลดลง 44.56 จุด หรือ -1.08%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงปรับตัวลงเนื่องจากลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและสถานการณ์การเมืองในประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่ รวมทั้งการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดขนาดมาตรการ QE ลงอีก
ทั้งนี้ เฟดจะเริ่มการประชุมกำหนดนโยบายเป็นเวลา 2 วันในวันนี้ โดยมีการคาดการณ์ว่า เฟดจะชะลอมาตรการ QE ต่อไป หลังจากที่ในเดือนที่แล้วได้ตัดสินใจเริ่มลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรรายเดือนลง 1.0 หมื่นล้านดอลลาร์ มาอยู่ที่ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยเริ่มตั้งแต่เดือนม.ค.
ความวิตกเกี่ยวกับการชะลอ QE ของเฟด ประกอบกับปัญหาการเมืองของตุรกี อาร์เจนติตาและยูเครน เป็นสาเหตุให้มีแรงเทขายหุ้นและสกุลเงินในตลาดเกิดใหม่ดังกล่าว และส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกด้วย
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ในเดือนธ.ค.ลดลง 7% มาอยู่ที่ 414,000 ยูนิต จากระดับ 445,000 ยูนิตในเดือนพ.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดไว้ที่ 455,000 ยูนิต ซึ่งตอกย้ำถึงอุปสรรคในการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยสหรัฐ
ด้านธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาดัลลัสเปิดเผยว่า ภาวะทางธุรกิจในภาคการผลิตของเท็กซัสในเดือนม.ค.เพิ่มขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 3.8 จาก 3.7 ในเดือนธ.ค.
อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงเพียงในกรอบที่จำกัดเท่านั้น เนื่องจากเทรดเดอร์ยังเชื่อว่า ตลาดหุ้นสหรัฐจะสามารถฟันฝ่าความกดดันของแรงเทขายไปได้ ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่าตลาดสหรัฐยังอยู่มีมูลค่าที่เหมาะสม
หุ้นวีซ่า หุ้นไมโครซอฟท์ และหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ต่างก็ร่วงลงกว่า 1.7%
ส่วนหุ้นแคทเทอร์พิลลาร์ พุ่งขึ้น 5.94% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสที่แข็งแกร่ง ขณะที่หุ้นเมิร์ก แอนด์ โค ดีดตัวขึ้น 1.1%