ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ดีดตัวขึ้น 126.80 จุด หรือ 0.79% ปิดที่ 16,154.39 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 8.80 จุด หรือ 0.48% ปิดที่ 1,838.63 จุด และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 3.35 จุด หรือ 0.08% ปิดที่ 4,244.02 จุด
ในช่วงแรกนั้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวลดลงในช่วงแรกของการซื้อขาย หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมสหรัฐหดตัวลง 0.3% ในเดือนม.ค. หลังจากที่ขยายตัว 0.3% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2552
ในขณะเดียวกัน ผลผลิตภาคการผลิตลดลง 0.8% ในเดือนม.ค. โดยส่วนหนึ่งเนื่องมาจากสภาพอากาศที่หนาวจัดซึ่งส่งผลให้การผลิตในบางพื้นที่หดตัวลง
แต่ตลาดดีดตัวขึ้นในเวลาต่อมา หลังจากรายงานของรอยเตอร์ส/มหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคทรงตัวอยู่ที่ระดับ 81.2 ในเดือนก.พ. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 80.0
นอกจากนี้ ตลาดยังขานรับรายงานของกระทรวงแรงงานที่ระบุว่า ดัชนีราคานำเข้าของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันในเดือนม.ค. และดัชนีราคาส่งออกก็ปรับตัวขึ้นเช่นเดียวกัน ในขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดทั้งภูมิภาค และตลาดหุ้นเอเชียก็ดีดตัวขึ้น ขานรับอัตราเงินเฟ้อจีนปรับตัวลดลง
หุ้นอเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป ร่วงลง 1.25% ถึงแม้ว่าบริษัทประกันยักษ์ใหญ่จะเปิดเผยผลประกอบการที่เป็นบวกในไตรมาส 4 และประกาศจ่ายเงินปันผลเพิ่ม
หุ้นกู๊ดเยียร์ ไทร์ แอนด์ รับเบอร์ พุ่งขึ้น 14% หลังผู้ผลิตยางรถยนต์ยักษ์ใหญ่ปรับเพิ่มการประมาณการรายได้ในไตรมาส 4/2556 ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์