ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,108.89 จุด ร่วงลง 231.19 จุด หรือ -1.41% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 1,846.34 จุด ลดลง 21.86 จุด หรือ -1.17% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,260.42 จุด ลดลง 62.91 จุด หรือ -1.46%
ในช่วงแรกนั้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเดือนก.พ.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ขณะที่สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนม.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.4% ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ และส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น
ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 8 มี.ค. ลดลง 9,000 ราย สู่ระดับ 315,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2556 ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 330,000 ราย
อย่างไรก็ตาม ตลาดเริ่มอ่อนแรงลงในเวลาต่อมาและร่วงลงสู่แดนลบจนกระทั่งตลาดปิดทำการ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในยูเครน พร้อมกับจับตาดูข่าวที่ว่าเขตปกครองตนเองไครเมียจะจัดให้มีการลงประชามติในวันอาทิตย์ที่ 16 มี.ค.นี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนในไครเมียได้มีทางเลือกที่จะตัดสินใจว่า จะยังคงเป็นเขตปกครองตนเองในยูเครนต่อไป หรือจะยกดินแดนเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐรัสเซีย
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าวมีมากขึ้นเมื่อมีรายงานว่า เครื่องบิบขับไล่ F-16 ของสหรัฐได้ร่อนลงจอดที่ฐานทัพอากาศในโปแลนด์ เพื่อเข้าร่วมการซ้อมรบ ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐกำลังหารือกับนายอาร์เซนีย์ ยัตเซนยุค รักษาการนายกรัฐมนตรียูเครน เพื่อที่จะขัดขวางการลงประชามติของไครเมีย
นอกจากนี้มีรายงานว่า รัฐสภายูเครนมีมติสนับสนุนการจัดตั้งกองกำลังรักษาดินแดน (National Guard) ซึ่งเป็นกองกำลังชุดใหม่ เพื่อเพิ่มแสนยานุภาพในการป้องกันประเทศ ท่ามกลางความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในเขตปกครองตนเองไครเมีย
หุ้น Amazon.com ดีดตัวขึ้น 0.2% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มแนวโน้มธุรกิจ ขณะที่หุ้นเจนเนอรัล อิเล็กทริก ร่วงลง 1.2%