ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,906.62 จุด ร่วงลง 117.59 จุด หรือ -0.69% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,391.46 จุด ลดลง 60.07 จุด หรือ -1.35% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,963.71 จุด ลดลง 13.94 จุด หรือ -0.70%
นักลงทุนยังคงเทขายทำกำไรหลังจากหลังจากที่ดัชนีดาวโจนส์ และ S&P 500 ทำสถิติแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนมิ.ย.ของสหรัฐพุ่งขึ้น 288,000 ตำแหน่ง มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 215,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราว่างงานปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 6.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 6 ปี สะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงฟื้นตัวและมีแนวโน้มที่จะช่วยหนุนเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจาก สหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติของสหรัฐ (NFIB) รายงานว่า ความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดเล็กปรับตัวลงจากระดับสูงสุดในรอบหกปี เนื่องจากเจ้าของธุรกิจมีความเชื่อมั่นลดลงเกี่ยวกับภาวะธุรกิจในอนาคต
ทั้งนี้ NFIB เปิดเผยว่า ดัชนีมุมมองเชิงบวกของธุรกิจขนาดเล็ก ปรับตัวลง 1.6 จุด สู่ระดับ 95 ในเดือนมิ.ย. ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ที่วอลล์สตรีท เจอร์นัลสำรวจความคิดเห็น คาดว่าดัชนีจะอยู่ที่ 97
นักลงทุนจับตาดูรายงานผลประกอบการของบริษัทรายใหญ่ในสหรัฐ โดยมีรายงานว่าบริษัทที่จดทะเบียนในดัชนี S&P 500 บางแห่งได้รายงานผลประกอบการแล้ว โดยบริษัทที่เปิดเผยผลประกอบการสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์นั้น มีอยู่ราว 63.6%
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาดูรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพุธนี้ เพื่อดูว่าเฟดจะส่งสัญญาณใดๆเกี่ยวกับนโยบายอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ โดยนักวิเคราะห์จากวาณิชธนกิจหลายแห่ง รวมถึงเจพีมอร์แกน และโกลด์แมน แซคส์ ต่างก็คาดการณ์ว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ เจพีมอร์แกนมองว่า ความแข็งแกร่งของตัวเลขจ้างงานสหรัฐอาจจะเป็นเหตุผลที่ให้เฟดตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในช่วงไตรมาส 3 ปี 2558 แทนที่จะเป็นไตรมาส 4 ปี 2558 ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้
หุ้นทวิตเตอร์ร่วงลง 7% ขณะที่หุ้นแพนโดรา ดิ่งลง 7.3% ซึ่งหุ้นทั้งสองตัวนี้ปรับตัวลงหนักสุดนับตั้งแต่วันที่ 6 พ.ค.ปีนี้
ส่วนหุ้นเฟซบุ๊ก ปรับตัวลง 3.9% และหุ้นทริปแอดไวเซอร์ ร่วงลงเกือบ 4%