ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,086.63 จุด ลดลง 26.91 จุด หรือ -0.16% ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 1,987.01 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้น 3.48 จุด หรือ +0.18% ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 4,473.70 จุด เพิ่มขึ้น 17.68 จุด หรือ +0.40%
ดัชนีดาวโจนส์อ่อนแรงลงเนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ยูเครนและกาซา ภายหลังจากที่มีรายงานว่าเครื่องบินรบยูเครน 2 ลำ ถูกยิงตกในพื้นที่ทางภาคตะวันออกของประเทศ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กลุ่มกบฏควบคุมอยู่ ขณะที่สถานการณ์ในฉนวนกาซาก็ยังน่าวิตก โดยปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลในฉนวนกาซานั้น ได้ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 660 คน และบาดเจ็บอีกประมาณ 4,300 คน
นอกจากนี้ ดาวโจนส์ยังได้รับแรงกดดันหลังจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐในปีนี้ลงสู่ระดับ 1.7% จากตัวเลขคาดการณ์เมื่อเดือนมิ.ย.ที่ 2%
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทแอปเปิล ซึ่งเป็นหุ้นที่มีน้ำหนักมากในตลาด ได้ช่วยหนุนดัชนี S&P 500 และดัชนี NASDAQ ปิดในแดนบวก
ทั้งนี้ หุ้นแอปเปิลพุ่งขึ้น 2.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้รายไตรมาสอยู่ที่ระดับ 3.74 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 7.7 พันล้านดอลลาร์ พร้อมระบุว่า บริษัทมียอดขายไอโฟน 35.2 ล้านเครื่องในไตรมาสสิ้นสุด ณ วันที่ 28 มิ.ย. เพิ่มขึ้น 12.7% จาก 31.2 ล้านเครื่องในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
หุ้นไมโครซอฟท์ปิดทรงตัวใกล้กับระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ไตรมาส 4 อยู่ที่ 2.338 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 2.301 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกันบริษัทเปิดเผยว่า กิจการโนเกียที่ไมโครซอฟท์เข้าไปซื้อมาจะถึงจุดคุ้มทุนภายใน 2 ปี
ส่วนหุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 2.34% และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ แม้บริษัทได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในปีนี้ก็ตาม