ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,013.87 จุด ลดลง 97.55 จุด หรือ -0.57% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,552.29 จุด ลดลง 40.00 จุด หรือ -0.87% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,988.44 จุด ลดลง 13.10 จุด หรือ -0.65%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากกระแสคาดการณ์ทั้งจากฝั่งของนักลงทุนและรายงานของสื่อต่างๆที่ว่า เฟดอาจจะพิจารณาเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่โครงการซื้อสินทรัพย์สิ้นสุดลง
ทั้งนี้ ความแข็งแกร่งของข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในช่วงที่ผ่านมานั้น ได้จุดประเด็นการคาดการณ์เรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดมาโดยตลอด รวมถึงข้อมูลภาคการผลิตที่แข็งแกร่งเกินคาดและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ตัวเลขจ้างงานนอกที่ซบเซาของสหรัฐยังคงเป็นปัจจัยลบที่สร้างความวิตกกังวล
สำหรับข่าวการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ไอโฟนรุ่นใหม่ของบริษัทแอปเปิลนั้น ในช่วงแรกตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้นขานรับข่าวดังกล่าว แต่หลังจากนั้นไม่นานตลาดก็ปรับตัวลงมาอยู่แดนลบ เนื่องจากกระแสการตอบรับแผ่วลง ทั้งนี้ หุ้นแอปเปิลปิดลบ 0.38% หลังจากแอปเปิลเปิดตัวไอโฟน 6 หน้าจอ 4.7 นิ้ว และ 5.5 นิ้ว และไอวอทช์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกสำหรับสวมใส่
หุ้น Amazon.com ร่วงลง 3.7% หลังจากบริษัทปรับลดราคาสมาร์ทโฟน Fire ขณะที่หุ้นยาฮู ร่วงลง 2.5% หุ้นอีเบย์ ดิ่งลง 2.8% และหุ้นอินเทล คอร์ป ร่วงลง 1.2%
หุ้นกลุ่มการเงินร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ร่วงลง 2.7% และหุ้นโกลด์แมน แซคส์ รับตัวลง 1.5% หลังจากมีรายงานว่า เฟดได้สรุปขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับกฎระเบียบที่กำหนดให้สถาบันการเงินรายใหญ่ต้องมีสภาพคล่องสำรองมากขึ้นเพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น โดยภายใต้กฎระเบียบใหม่นั้น ธนาคารขนาดใหญ่จะต้องถือครองสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องและคุณภาพสูง เช่น เงินที่สำรองไว้กับธนาคารกลาง พันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ของภาคเอกชน ในสัดส่วนที่ไม่ต่ำกว่า 10% ของกระแสเงินสดไหลออกสุทธิสำหรับระยะเวลา 30 วันในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ นักลงทุนจับตาดูการเสนอขายต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก (IPO) ของบริษัทอาลีบาบา โดยบริษัทกำลังทำโรดโชว์ในเมืองบอสตัน ซึ่งหากทุกอย่างดำเนินไปตามที่คาด อาลีบาบาก็จะกำหนดราคาหุ้นในวันที่ 18 ก.ย.และจะเริ่มเทรดในตลาดหุ้นนิวยอร์กภายใต้สัญลักษณ์ “BABA" ในวันถัดไป