ดัชนี Stoxx 600 ร่วงลง 1.6% ปิดที่ 321.62 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ.
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 8,788.81 จุด ร่วงลง 216.21 จุด หรือ -2.40% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,073.71 จุด ลดลง 67.74 จุด หรือ -1.64% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,339.97 จุด ลดลง 91.88 จุด หรือ -1.43%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากความวิตกกังวลที่ว่าการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของอีซีบีอาจจะไม่ราบรื่น หลังจากที่นายโวล์ฟกัง ชอยเบอร์ รัฐมนตรีคลังเยอรมนีได้ออกมาเตือนเรื่องผลกระทบของการใช้มาตรการ QE แบบเดียวกับในสหรัฐ และเรียกร้องให้ประเทศยูโรโซนหันมาเพิ่มวินัยด้านการคลังเพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
การแสดงความคิดเห็นของนายชอยเบิลถือเป็นการขัดแย้งกับที่นายดรากิ ประธานอีซีบีได้กล่าวในที่ประชุมของสถาบันบรูคกิงส์ ในกรุงวอชิงตัน ดีซี เมื่อเร็วๆนี้ว่า อีซีบีพร้อมที่จะใช้มาตรการเพิ่มเติมอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เพื่อจัดการกับความเสี่ยงที่เกิดจากการที่เงินเฟ้อเคลื่อนไหวในระดับต่ำนานจนเกินไป และยังกล่าวด้วยว่า อีซีบีเราพร้อมที่จะใช้มาตรการขนานใหญ่ และ/หรือ ใช้มาตรการแทรกแซงอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งถ้อยแถลงของนายดรากิถือเป็นการส่งสัญญาณที่หนักแน่นว่า อีซีบีพร้อมที่จะเปิดตัวโครงการซื้อสินทรัพย์ขนานใหญ่ของรัฐบาล หรือที่เรียกกว่ามาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เพื่อป้องกันเศรษฐกิจยูโรโซนจากภาวะเงินฝืด หลังจากอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนร่วงลงแตะระดับ 0.3% ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี และต่ำกว่าเป้าหมายที่ระดับ 2% ของอีซีบีอยู่มาก
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง นำโดยหุ้นเซมิไมโครอิเล็คทรอนิคส์ ร่วงลง 5.7% และหุ้นอินฟิเนียน เทคโนโลยี ร่วงลงเช่นกัน เพราะได้รับแรงกดดันหลังจากบริษัทไมโครชิพ เทคโนโลยีได้ออกรายงานเตือนว่า อุตสาหกรรมเทคโนโลยีได้เข้าสู่ภาวะปรับฐานแล้ว และจะเข้าสู่ภาวะ "ปรับฐานลง" เป็นวงกว้างในระยะเวลาอันใกล้นี้
หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้น Ophir Energy ร่วงลง 8.2% และหุ้น Abengoa SA ดิ่งลง 8.8%
นักลงทุนจับตาดูสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสอีโบลาในยุโรปอย่างใกล้ชิด หลังจากโรงพยาบาลในกรุงมาดริดรายงานว่า มีการเฝ้าระวังสัญญาณการติดเชื้ออีโบลาในประชาชน 13 คนในประเทศสเปน ซึ่งข่าวดังกล่าวได้ฉุดหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการเดินทางร่วงลงด้วย รวมถึงหุ้นแอร์ฟรานซ์-เคแอลเอ็ม และหุ้นโธมัส คุ๊ก ที่ต่างก็ร่วงลงอย่างน้อย 2.2%