ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,180.84 จุด ลดลง 99.99 จุด หรือ -0.58% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,605.16 จุด ลดลง 48.44 จุด หรือ -1.04% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,989.63 จุด ลดลง 12.70 จุด หรือ -0.63%
ในช่วงแรกนั้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นเนื่องจากนักลงทุนเข้ามาช้อนซื้อเก็งกำไร หลังจากดัชนีดาวโจนส์ และ S&P 500 ดิ่งลงหนักสุดในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ตลาดอ่อนแรงลงในเวลาต่อมา เนื่องจากราคาน้ำมันดิบ WTI ตลาดนิวยอร์กร่วงลงอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อคืนนี้ สัญญาน้ำมันดิบเดือนม.ค.ปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2552
นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่ผันผวนของสหรัฐยังส่งผลให้ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซาด้วย โดยสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านปรับตัวลดลง 1 จุด แตะที่ระดับ 57 ในเดือนธ.ค. ซึ่งบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวที่ยังขาดความต่อเนื่องของตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นมาตรวัดผลผลิตในภาคการผลิต สาธารณูปโภค และเหมืองแร่ของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.3% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบกับเดือนก่อน หลังจากที่ปรับตัวขึ้น 0.1% ในเดือนต.ค.
หุ้นแมคโดนัลด์ หุ้นโกลด์แมน แซคส์ หุ้นไอบีเอ็ม และหุ้นเชฟรอน ต่างก็ปรับตัวลงกว่า 1.4%
ส่วนหุ้นโบอิ้ง ดีดตัวขึ้น 1.1% หลังจากบริษัทประกาศแผนการซื้อคืนหุ้นและเพิ่มการจ่ายเงินปันผล
อย่างไรก็ตาม หุ้นเอ็กซอน โมบิล ดีดตัวขึ้น 0.6% เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไรหลังจากราคาหุ้นดิ่งลงไป 7.7% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
นักลงทุนจับตาดูการประชุมเฟดครั้งสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 16-17 ธ.ค. และแถลงการณ์การภายหลังการประชุมของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด เพื่อดูว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับช่วงเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่