นอกจากนี้ ความวิตกที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ก็ได้เป็นปัจจัยกดดันตลาดด้วย
ณ เวลา 22.03 น.ตามเวลาไทย ดัชนี FTSEurofirst 300 ลบ 0.2% อยู่ที่ 1,471.98 จุด
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ลงมติในการประชุมวานนี้ ด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ 10-0 ให้คงอัตราดอกเบี้ยใกล้ 0% อย่างน้อยจนถึงกลางปีนี้
เฟดแถลงว่า ยังคงสามารถ"อดทนรอได้"ในการตัดสินใจกลับมาใช้นโยบายการเงินแบบปกติ โดยกำหนดเวลาในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่ได้รับ
นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด กล่าวในเดือนธ.ค.ว่า การระบุว่า เฟดสามารถ"อดทนรอได้" หมายความว่า เฟดไม่มีแนวโน้มที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 2 ครั้งข้างหน้า ซึ่งหากตีความเช่นนี้ หมายความว่า เฟดจะยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนมี.ค.และเม.ย. แต่จะเปิดกว้างต่อการดำเนินการในการประชุมวันที่ 16-17 มิ.ย.
คริส โลว์ นักวิเคราะห์จากเอฟทีเอ็น ไฟแนนเชียล กล่าวว่า ถ้อยแถลงของเฟดบ่งชี้ว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังจากช่วงกลางปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากการที่เฟดประเมินภาวะเศรษฐกิจสหรัฐว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีการขยายตัวในอัตราที่แข็งแกร่ง ซึ่งถือเป็นการประเมินที่ดีขึ้นกว่าเดิมที่เฟดใช้คำว่า "ขยายตัวในอัตราปานกลาง" ในปีที่แล้ว ขณะที่การจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก และอัตราว่างงานได้ลดต่ำลง ส่วนอัตราเงินเฟ้อยังคงปรับตัวต่ำกว่าเป้าหมายในระยะยาวที่เฟดกำหนดไว้
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (28 ม.ค.) เพราะได้รับแรงกดดันจากการที่เฟดส่งสัญญาณว่าอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังจากช่วงกลางปีนี้ นอกจากนี้ การร่วงลงของราคาน้ำมันดิบยังเป็นอีกปัจจัยที่ฉุดตลาดร่วงลงด้วย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,191.37 จุด ร่วงลง 195.84 จุด หรือ -1.13% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,637.99 จุด ลดลง 43.51 จุด หรือ -0.93% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,002.16 จุด ลดลง 27.39 จุด หรือ -1.35%