สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (2 ก.พ.) เนื่องจากการคาดการณ์ที่ว่า การผลิตน้ำมันในสหรัฐจะปรับตัวลดลง นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนจากข่าวการสไตรค์ของสหภาพแรงงานน้ำมันสหรัฐ
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 1.33 ดอลลาร์ ปิดที่ 49.57 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 1.76 ดอลลาร์ ปิดที่ 54.75 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทั้งนี้ ดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปีครึ่ง ภายหลังจากที่แบงก์ชาติออสเตรเลียมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อรับมือกับแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดอันเนื่องมาจากราคาน้ำมันที่ร่วงลงก่อนหน้านี้
ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานในตลาดหุ้นออสเตรเลีย โดยหุ้นออริจิน เอเนอร์จี ทะยาน 10% ส่วนหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ดีดตัว 5% ในตลาดหุ้นออสเตรเลีย
หุ้นเลอโนโว ทะยาน 6.3% ในตลาดหุ้นฮ่องกง ภายหลังจากที่บริษัทได้เปิดเผยตัวเลขกำไรที่สูงกว่าการคาดการณ์
ธนาคารกลางออสเตรเลียประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 2.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ในการประชุมวันนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ
เมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง 0.3% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552 เทียบกับที่เพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนพ.ย. หลังจากราคาน้ำมันที่ถูกลงและยอดขายรถยนต์ที่ตกต่ำ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การใช้จ่ายปรับตัวลง
ทางด้านสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยผลสำรวจที่แสดงให้เห็นว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐอยู่ที่ระดับ 53.5 ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวย่ำแย่ที่สุดในรอบปี และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 54.3