ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับปัจจัยลบจากความกังวลที่ว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเวลาที่รวดเร็วขึ้น หลังจากมีกระแสคาดการณ์จากบรรดานักวิเคราะห์ว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐนั้น สะท้อนถึงการฟื้นตัวขึ้นของเศรษฐกิจภายในประเทศ และอาจจะส่งผลให้เฟดตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในช่วงกลางปีนี้ ชินอิจิโร่ คาโดตะ นักยุทธศาสตร์ด้านปริวรรตเงินตราต่างประเทศจากธนาคารบาร์เคลย์ส กล่าวว่า บรรดาผู้สังเกตการณ์ในตลาดต่างคาดการณ์ว่า ในการประชุมสัปดาห์หน้านี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดอาจจะเลิกใช้คำว่า "อดทน" ในการพิจารณากำหนดเวลาสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย.นี้ ส่วนเมื่อเดือนที่แล้ว นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด ส่งสัญญาณว่าเฟดอาจจะเปลี่ยนแถลงถ้อยคำในสัญญาณชี้นำล่วงหน้า (Forward Guidance) ด้วยการเลิกใช้คำว่า "อดทน" เมื่อพิจารณาเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การคาดการณ์ที่ว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น และทำให้เกิดความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทส่งออกในสหรัฐ โดยผลการสำรวจความคิดเห็นของประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน (CFO) ทั่วโลกซึ่งจัดทำโดย Duke University/CFO Magazine Global Business Outlook ระบุว่า ผู้บริหารส่วนใหญ่มองว่าการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐได้ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกของประเทศ และอาจจะเป็นอุปสรรคต่อแผนการลงทุนของบริษัทในปีหน้า
หุ้นไทสัน ฟู๊ด ร่วงลง 5.6% ขณะที่หุ้นพิลกริมส์ ไพร์ด ดิ่งลง 4.4%
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้น นำโดยหุ้นซิตี้กรุ๊ป พุ่งขึ้น 3.1% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ปรับขึ้น 3.1% เช่นกัน
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ยอดค้าปลีกเดือนก.พ., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนม.ค., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.พ. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนมี.ค.จากรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกน