ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,718.54 จุด ร่วงลง 292.60 จุด หรือ -1.62% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,876.52 จุด ดิ่งลง 118.21 จุด หรือ -2.37% ดัชนี S&P500 ปิดที่ที่ 2,061.05 จุด ลดลง 30.45 จุด หรือ -1.46%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ระบุว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปร่วงลง 1.4% ในเดือนก.พ. ซึ่งตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% สะท้อนให้เห็นว่าภาคธุรกิจยังคงมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย ท่ามกลางภาวะอุปสงค์โลกที่ซบเซา
เจย์ มอร์ล็อค นักวิเคราะห์จากเอฟทีเอ็น ไฟแนนเชียลกล่าวว่า ภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐมีแนวโน้มซบเซาลงเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง นอกจากนี้ ความต้องการสินค้าสหรัฐในต่างประเทศและการแข่งขันที่ดุเดือด ก็จะส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตของสหรัฐในอนาคตด้วย
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง โดยหุ้นแอปเปิลดิ่งลง 2.6% หุ้นอินเทล คอร์ป ร่วงลง 2.9% ขณะที่หุ้นผู้ผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ร่วงลงเช่นกัน นำโดยหุ้นเอ็นวิเดีย ร่วงลง 6.1%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นเน็ทฟลิกซ์ และหุ้นเซลฟอร์ซต่างก็ต่างปรับตัวลงกว่า 2.3%
อย่างไรก็ตาม หุ้นคราฟท์ฟู้ดส์ทะยานขึ้น 35.6% หลังจากบริษัททำข้อตกลงควบรวมกิจการกับบริษัทเอช.เจ.ไฮน์ซ ผู้ผลิตซอสมะเขือเทศชื่อดัง โดยไฮน์ซจะถือหุ้นในบริษัทร่วมทุน 51% และคราฟท์จะถือหุ้น 49%
ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ โดยหุ้นเชฟรอนปรับตัวขึ้น 1.4% หุ้นฮัลลิเบอร์ตันพุ่งขึ้น 2.1% และหุ้นทรานส์โอเชียนปรับตัวขึ้น 2.1% เช่นกัน
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเบื้องต้นเดือนมี.ค., จีดีพีขั้นสุดท้ายช่วงไตรมาส 4/2557 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงท้ายเดือนมี.ค.จากรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกน