ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,776.12 จุด ร่วงลง 200.19 จุด หรือ -1.11% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,900.88 จุด ลดลง 46.56 จุด หรือ -0.94% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,067.89 จุด ลดลง 18.35 จุด หรือ -0.88%
สำหรับตลอดเดือนก.พ.นั้น ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงทั้งสิ้น 2% ดัชนี S&P 500 ปรับลง 1.7% และดัชนี NASDAQ ร่วงลง 1.3%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐ รวมถึงดัชนีราคาบ้านทั่วสหรัฐ ที่ขยับขึ้นเพียง 4.5% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่ปรับตัวขึ้น 4.6% ในเดือนธ.ค. และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโกประจำเดือนมี.ค.ขยับขึ้นสู่ระดับ 46.3 จากระดับ 45.8 ในเดือนก.พ.ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2552
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบหลังจากที่นายเจฟฟรีย์ แลคเกอร์ ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า เขาคาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอัตราว่างงานของสหรัฐจะปรับตัวสูงขึ้นในปีนี้ ซึ่งอาจจะส่งผลให้เฟดตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเวลาที่เร็วขึ้น
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง นำโดยหุ้นเชฟรอนร่วงลง 1.8% และหุ้นเอ็กซอน โมบิล ปรับลง 0.7% หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ตลาดนิวยอร์กดิ่งลงเมื่อคืนนี้ อันเป็นผลมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานพลังงานในตลาดโลกที่สูงเกินไป หลังจากมีรายงานว่าปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) เพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนมี.ค.
หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวลงเช่นกัน รวมถึงหุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา และหุ้นดิสคัฟเวอร์ ไฟแนนเชียล เซอร์วิส
นักลงทุนจับตาดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมี.ค.ของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันศุกร์นี้ เพื่อประเมินทิศทางการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของเฟด ขณะที่ผลการสำรวจนักวิเคราะห์ระบุว่า ตัวเลขจ้างงานอาจจะเพิ่มขึ้น 248,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 295,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังคาดว่า อัตราการว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 5.5% ในเดือนมี.ค.