ณ เวลา 19.58 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าบวก 241 จุด หรือ 1.51% สู่ระดับ 16,154 จุด
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปี 2558 ขยายตัว 6.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2533 หรือในรอบ 25 ปี และชะลอลงจากอัตรา 7.3% ในปี 2557
สำหรับในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2558 GDP จีนขยายตัว 6.8% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอลงจากไตรมาส 3 ที่เติบโต 6.9%
NBS ระบุว่า GDP ของจีนในปี 2558 มีมูลค่า 67.67 ล้านล้านหยวน (ราว 10.3 ล้านล้านดอลลาร์) โดยภาคบริการคิดเป็นสัดส่วน 50.5% ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีสัดส่วนสูงกว่า 50%
ขณะที่ยอดค้าปลีกของจีนในเดือนธ.ค.ขยายตัว 11.1% เมื่อเทียบรายปี ส่วนในปี 2558 ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 10.7% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอลงจากอัตรา 12% ในปี 2557
ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค.ขยายตัว 5.9% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนพ.ย.ที่ขยายตัว 6.2%
หากเทียบเป็นรายเดือนพบว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค.ขยับขึ้นเพียง 0.41% ชะลอตัวลงจากเดือนพ.ย.ที่ขยายตัว 0.58%
ธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐ เมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ รายงานผลกำไรเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.34 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4 หรือ 28 เซนต์/หุ้น เทียบกับ 3.05 พันล้านดอลลาร์ หรือ 25 เซนต์/ดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปี 2014
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าแบงก์ ออฟ อเมริกา มีกำไร 26 เซนต์/หุ้นในไตรมาส 4
ส่วนรายได้ของธนาคารเพิ่มขึ้นสู่ 1.953 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4 เทียบกับ 1.873 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปี 2014 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.982 หมื่นล้านดอลลาร์
มอร์แกน สแตนเลย์แถลงในวันนี้ว่า ทางธนาคารกลับมามีผลกำไรในไตรมาส 4 โดยอยู่ที่ระดับ 908 ล้านดอลลาร์ หรือ 39 เซนต์/หุ้น เทียบกับที่ขาดทุน 1.63 พันล้านดอลลาร์ หรือ 91 เซนต์/หุ้นในช่วงเดียวกันของปี 2014
นอกจากนี้ มอร์แกน สแตนเลย์เปิดเผยว่า รายได้อยู่ที่ระดับ 7.74 พันล้านดอลลาร์ แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดียวกันของปี 2014
ผลประกอบการของทางธนาคารได้รับแรงหนุนจากธุรกิจวาณิชธนกิจ และหลักทรัพย์ ขณะที่บริษัทย่านวอลล์สตรีทฝ่าฟันภาวะทรุดตัวของการซื้อขายในตลาดตราสารหนี้