ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (6 เม.ย.) โดยได้รับปัจจัยบวกจากข่าวที่ว่า บริษัทไฟเซอร์ ได้ยุติข้อตกลงการควบรวมกิจการกับอัลเลอร์แกน พีแอลซี บริษัทผู้ผลิตโบท็อกซ์จากไอร์แลนด์ ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ดีดตัวขึ้น นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับขึ้น 0.8% ปิดที่ 330.65 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,284.64 จุด เพิ่มขึ้น 34.36 จุด หรือ +0.81% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 9,624.51 จุด เพิ่มขึ้น 61.15 จุด หรือ +0.64% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,161.63 จุด เพิ่มขึ้น 70.40 จุด หรือ +1.16%
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ โดยหุ้นแอสทราเซเนกา พุ่งขึ้น 4.5% หุ้นไชร์ พุ่งขึ้น 3.2% หุ้นแกล็คโซสมิธไคลน์ ทะยานขึ้น 3.5%
ปัจจัยที่ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์พุ่งขึ้นนั้น มาจากข่าวที่ว่า ไฟเซอร์ อิงค์ บริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ของสหรัฐ ได้ยุติข้อตกลงการควบรวมกิจการกับอัลเลอร์แกน พีแอลซี บริษัทผู้ผลิตโบท็อกซ์จากไอร์แลนด์ โดยคาดว่าเป็นผลจากการที่สหรัฐเพิ่งประกาศระเบียบการใหม่เพื่อจัดการกับกรณีการควบรวมกิจการเพื่อเลี่ยงภาษี
เมื่อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ไฟเซอร์ และอัลเลอร์แกน ได้ประกาศบรรลุข้อตกลงควบรวมกิจการมูลค่า 1.60 แสนล้านดอลลาร์ในการก่อตั้งบริษัทเวชภัณฑ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยข้อตกลงดังกล่าวถือเป็นข้อตกลงควบรวมกิจการที่มีมูลค่าสูงสุดในธุรกิจเวชภัณฑ์
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อตกลงนี้มีมูลค่ามหาศาล ทั้งสองบริษัทจึงถูกเพ่งเล็งพิเศษ โดยเมื่อไม่นานมานี้ทางการสหรัฐได้ประกาศระเบียบการใหม่อีกครั้ง หลังจากที่เคยประกาศไปแล้วเมื่อปี 2557 เพื่อจัดการกับกรณีที่มีบริษัทจงใจย้ายสถานที่ตั้งของบริษัทไปยังประเทศอื่นที่เรียกเก็บภาษีต่ำกว่า เพื่อเลี่ยงการเก็บภาษีของสหรัฐ
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่พุ่งขึ้นกว่า 5% หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 1 เม.ย. ร่วงลง 4.9 ล้านบาร์เรล ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้