ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (15 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มธุรกิจเดินทาง หลังจากเกิดเหตุก่อการร้ายในเมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 80 คน
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.2% ปิดที่ 337.92 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,372.51 จุด ลดลง 13.01 จุด หรือ -0.30% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,066.90 จุด ลดลง 1.40 จุด, -0.01% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,669.24 จุด เพิ่มขึ้น 14.77 จุด หรือ +0.22%
หุ้นกลุ่มธุรกิจเดินทางร่วงลงอย่างหนัก และได้ฉุดตลาดหุ้นยุโรปอ่อนแรงลงด้วย หลังจากเกิดเหตุก่อการร้ายที่เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส ในขณะที่ประชาชนกำลังเฉลิมฉลองวันชาติ ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 80 คน
ทั้งนี้ หุ้นโทมัส คุ๊ก ดิ่งลง 4.2% หุ้นอินเตอร์เนชันแนล คอนโซลิเดทเต็ด ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของสายการบินบริติช แอร์เวย์ส ปรับตัวลง 0.9% หุ้นอีซีเจ็ท ร่วงลง 2.7% ส่วนหุ้น Accor ซึ่งเป็นผู้ประกอบการโรงแรมของฝรั่งเศส ร่วงลงด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงในกรอบจำกัด เนื่องจากนักลงทุนขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีนและสหรัฐ โดยยอดค้าปลีกมิ.ย.ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ และเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 3
ส่วนธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2015 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.2%
นอกจากนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจในไตรมาส 2/2559 ขยายตัวได้ดีเกินคาด ซึ่งช่วยหนุนความคาดหวังที่ว่า เศรษฐกิจภายในประเทศได้เริ่มเข้าสู่ภาวะที่มีเสถียรภาพ
ทั้งนี้ NBS ระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2559 ขยายตัว 6.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยตัวเลขดังกล่าวยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดไว้ที่ 6.5 - 7%