ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (10 ส.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงราว 2.5% ซึ่งได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงด้วย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากผลประกอบการที่ย่ำแย่ของบริษัทจดทะเบียนบางแห่ง ซึ่งรวมถึง ไมเคิล คอร์ ผู้ผลิตกระเป๋าแบรนด์ดัง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,495.66 จุด ลดลง 37.39 จุด หรือ -0.20% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,204.58 จุด ลดลง 20.90 จุด หรือ -0.40% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,175.49 จุด ลดลง 6.25 จุด หรือ -0.29%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดตลาดอ่อนแรงลง หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงราว 2.5% เมื่อคืนนี้ ภายหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 5 ส.ค. เพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ซึ่งสำรวจโดยวอลล์สตรีท เจอร์นัลคาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบจะปรับตัวลดลง 800,000 บาร์เรล
การร่วงลงของราคาน้ำมันได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงด้วย โดยหุ้นเอ็กซอนโมบิล ร่วงลง 1.7% หุ้นเชฟรอน ดิ่งลง 1.1% หุ้นทรานส์โอเชียน ปรับตัวลง 1.7%
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจดทะเบียนบางแห่ง โดยไมเคิล คอร์ เปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ อันเนื่องมาจากยอดขายที่ซบเซา ซึ่งส่งผลให้หุ้นไมเคิล คอร์ ปิดตลาดดิ่งลง 2.7% เมื่อคืนนี้
หุ้นเวนดี้ส์ โค ซึ่งเป็นเชนร้านอาหารฟ้าสท์ฟู๊ด ร่วงลง 2.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่ลดลงมากกว่าคาด
อย่างไรก็ตาม หุ้นราล์ฟ ลอเรน พุ่งขึ้น 8.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่หุ้นวอลท์ ดิสนีย์ ปรับตัวขึ้น 1.2% ขานรับผลประกอบการที่ดีเกินคาดเช่นกัน
นักวิเคราะห์จับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยในวันนี้ ทางการสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ส่วนในวันพรุ่งนี้จะมีการเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค., ยอดค้าปลีกเดือนก.ค., ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนส.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนมิ.ย.