ตลาดหุ้นนิวยอร์กพลิกร่วงแดนลบในวันนี้ หลังจากที่นายสแตนลีย์ ฟิสเชอร์ รองประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า รายงานการจ้างงานครั้งต่อไป จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีน้ำหนักมากในกระบวนการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
ณ เวลา 23.18 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 18,369.55 จุด ลดลง 78.86 จุด หรือ 0.43%
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนส.ค.ในวันที่ 3 ก.ย. ก่อนที่เฟดจะประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 20-21 ก.ย.
นายฟิสเชอร์กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐได้แข็งแกร่งขึ้น โดยมีการจ้างงานที่สดใสในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
นายฟิสเชอร์ยังระบุว่า การตัดสินใจว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่นั้น ควรเป็นการดำเนินการแบบมองไปข้างหน้า ไม่ใช่มองไปข้างหลัง
นอกจากนี้ รองประธานเฟดกล่าวว่า จำนวนครั้งของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้จะขึ้นอยู่กับข้อมูลทางเศรษฐกิจ ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐกำลังเผชิญปัญหาการขยายตัวของประสิทธิภาพการผลิต
ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 100 จุดในการซื้อขายช่วงแรก ขานรับการกล่าวสุนทรพจน์ของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด ที่ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีการขยายตัว ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ณ เวลา 21.35 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 18,554.38 จุด เพิ่มขึ้น 105.08 จุด หรือ 0.57%
ทั้งนี้ นางเยลเลนไม่ได้ระบุกรอบเวลาของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ขณะที่กล่าวในการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็คสัน โฮล รัฐไวโอมิ่ง โดยระบุว่า "เฟดยังคงคาดการณ์ว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่การจ้างงาน และเงินเฟ้อใกล้แตะระดับเป้าหมายของเฟด"
นางเยลเลนยังกล่าวว่า "ท่ามกลางการปรับตัวที่แข็งแกร่งของตลาดแรงงาน และมุมมองของเราที่มีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และภาวะเงินเฟ้อ ดิฉันเชื่อว่าปัจจัยต่างๆที่สนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ได้เพิ่มมากขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา"
ขณะเดียวกัน นางเยลเลนได้แสดงความกังวลต่อการลงทุนในภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับต่ำ และประสิทธิการผลิตที่ลดต่ำลง
นอกจากนี้ นางเยลเลนยังได้กล่าวปกป้องนโยบายของเฟดในการตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำ หลังจากที่นักวิชาการบางส่วนแสดงความกังวลว่า เฟดอาจจะไม่มีเครื่องมือที่จะรับมือกับวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหม่ รวมทั้งหากเศรษฐกิจสหรัฐเผชิญกับภาวะถดถอย
"นอกเหนือจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดกลับไปใกล้ 0% แล้ว เฟดยังสามารถเพิ่มวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) สู่ระดับ 2 ล้านล้านดอลลาร์ และส่งสัญญาณล่วงหน้าถึงการผ่อนคลายนโยบาย โดยประกาศความตั้งใจในการคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับนี้ จนกว่าภาวะเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้น" นางเยลเลนกล่าว แต่ก็ยอมรับว่า การที่อัตราดอกเบี้ยระยะยาวอยู่ในระดับต่ำมาก จะทำให้ผลลัพธ์จากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจถูกจำกัดลงบางส่วน
ทั้งนี้ CME FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนมองว่ามีแนวโน้มเพียง 18% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. ส่วนโอกาสในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. อยู่ที่ระดับ 53%