ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (9 ก.ย.) จากความกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รวมถึงตัวเลขเงินเฟ้อที่อ่อนแรงลงของจีน การทดลองอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ และการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ไม่ได้ประกาศมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมในการประชุมวันก่อน
ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวลง 81.75 จุด หรือ -1.19% แตะที่ 6,776.95 จุด ซึ่งเป็นการร่วงลงมากที่สุดตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค. หรือในรอบกว่า 2 เดือน
สำหรับตลอดสัปดาห์ ดัชนีหุ้นลอนดอนร่วงลง 1.7% ซึ่งเป็นการลดลงหนักสุดนับตั้งแต่สัปดาห์แรกของเดือนพ.ค.
ตลาดหุ้นลอนดอนอ่อนตัวลงในการซื้อขายวันศุกร์ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย.นี้ หลังจากที่นายเอริค โรเซนเกรน ประธานเฟด สาขาบอสตัน กล่าวเตือนว่า เฟดเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น หากชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปนานเกินไป ดังนั้นการใช้นโยบายคุมเข้มอย่างค่อยเป็นค่อยไปจึงมีความเหมาะสม
ประธานเฟดบอสตันไม่ได้ระบุว่าเขาคาดหวังให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนสิ้นปีหรือไม่ แต่ถ้อยแถลงของเขาสอดคล้องกับสิ่งที่นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด กล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า ปัจจัยที่สนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกำลังมีน้ำหนักมากขึ้น
ทางด้านนายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานเฟด สาขาดัลลัส กล่าวว่า ปัจจัยที่สนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย กำลังมีน้ำหนักมากขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ประธานเฟดดัลลัส ยังกล่าวว่า รายงานการจ้างงานในช่วงที่ผ่านมา บ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานยังคงปรับตัวดีขึ้น และขณะที่อัตราเงินเฟ้อกำลังเพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้าไปสู่เป้าหมายของเฟดที่ 2% จึงคาดกันว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงค่อยๆปรับตัวขึ้นต่อไปในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
CME Group FedWatch ระบุว่า นักลงทุนได้เพิ่มคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนนี้ หลังคำกล่าวของนายโรเซนเกรน และนายแคปแลน
ทั้งนี้ นักลงทุนเพิ่มความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย.สู่ระดับ 24% จากเดิมที่ 18%
นอกจากนี้ ตัวเลขเงินเฟ้อของจีนที่อ่อนแรงลง และการทดลองนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ก็เป็นปัจจัยถ่วงตลาดเช่นกัน
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญ ปรับตัวขึ้น 1.3% ในเดือนส.ค.เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนก.ค.ที่มีการขยายตัว 1.8%
ด้านเกาหลีเหนือได้ออกมาประกาศความสำเร็จในการทดลองนิวเคลียร์ครั้งที่ 5 ในวันศุกร์ โดยการทดสอบครั้งนี้มีขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 68 ปีแห่งการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (DPRK)
ขณะเดียวกัน ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนยังถูกกดดันจากการที่ที่ประชุม ECB ไม่ได้ประกาศขยายช่วงเวลาในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ECB ยังได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2017 และ 2018 สู่ระดับ 1.6% จากเดิมที่ 1.7%
โดยในการประชุมวันพฤหัสบดี ECB ได้ประกาศคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 8 หมื่นล้านยูโร/เดือน และไม่มีการขยายช่วงเวลาในการดำเนินนโยบายดังกล่าวที่มีกำหนดสิ้นสุดในเดือนมี.ค. 2017 โดยระบุเพียงว่าจะมีการขยายช่วงเวลาดังกล่าวออกไป หากมีความจำเป็น
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจอังกฤษที่มีการเปิดเผยในวันศุกร์ ได้แก่ ยอดขาดดุลการค้าซึ่งปรับตัวลดลงเล็กน้อย
หุ้นธนาคารรายใหญ่ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนทางตลาด ทั้งบาร์เคลย์, รอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์, เอชเอสบีซี, และลอยด์ แบงกิง กรุ๊ป
ขณะที่หุ้นลบนำโดย แอชทีด กรุ๊ป บริษัทผู้จัดหาอุปกรณ์ก่อสร้าง ร่วงลงกว่า 4% หุ้นเทสโก้ ปิดลบ 3% หลังจากอดีตผู้บริหารถูกตั้งข้อหาว่ามีส่วนพัวพันกับกรณีอื้อฉาวเรื่องการตกแต่งบัญชี
หุ้นเบอร์เบอร์รี กรุ๊ป ร่วง 2.5% เนื่องจาก CPI ที่ชะลอตัวของจีนก่อให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีน โดยจีนถือเป็นตลาดใหญ่สำหรับเบอร์เบอร์รี ดังเห็นได้จากการที่บริษัทสามารถทำรายได้จากยอดขายสินค้าแบรนด์เนมในจีนได้ถึงเกือบ 14% ของรายได้ทั้งหมด
หุ้นเหมืองแร่ร่วงลงเกือบทั้งหมด อันเนื่องมาจากปัจจัยเงินเฟ้อที่ชะลอตัวของจีนเช่นกัน เพราะจีนเป็นตลาดที่สำคัญสำหรับบรรดาผู้ผลิตโลหะ หุ้นเฟรสนิลโล ลดลง 3.4% หุ้นแรนโกลด์ รีซอรส์เซส ลดลง 2.54% หลังราคาทองปรับตัวลดลง หุ้นอันโตฟากัสตาลบ 2% อย่างไรก็ดี หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ปรับตัวขึ้นสวนทางหุ้นในกลุ่ม
หุ้นบริษัทพลังงานปรับตัวลงตามราคาน้ำมัน หุ้นบีพีร่วง 1.1% และรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วง 1.7%