ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นในช่วงเปิดตลาดวันนี้ หลังหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น จากมุมมองที่เป็นบวกว่ากลุ่มโอเปกจะประสบความสำเร็จในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่สดใสของหลายบริษัท
ณ เวลา 20.40 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 18,192.90 จุด เพิ่มขึ้น 30.96 จุด หรือ 0.17%
มอร์แกน สแตนลีย์ เปิดเผยว่า ผลกำไรของบริษัททะยานขึ้นถึง 61.7% ในไตรมาส 3 ปี 2559 เนื่องจากรายได้จากการซื้อขายพันธบัตรเพิ่มขึ้นแข็งแกร่ง โดยสถาบันการเงินรายใหญ่ของสหรัฐมีกำไร 1.52 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นจาก 939 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 81 เซนต์ เพิ่มขึ้นจาก 34 เซนต์ในปีที่แล้ว ด้านรายได้เพิ่มขึ้นแตะ 8.91 พันล้านดอลลาร์ จาก 7.77 พันล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในช่วงเปิดตลาดยังได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นถึงเกือบ 2% หลังจากมีกระแสคาดการณ์ว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐน่าจะปรับตัวลดลงในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะเดียวกันก็มีแนวโน้มว่าโอเปกจะประสบความสำเร็จในการลดกำลังการผลิตน้ำมัน
นายโมฮัมหมัด บาร์คินโด เลขาธิการกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) แสดงความเชื่อมั่นว่าทางกลุ่มจะสามารถดำเนินการปรับลดการผลิตน้ำมันได้ตามแผน ภายหลังการประชุมที่กรุงเวียนนาในวันที่ 30 พ.ย. นี้ หลังจากที่โอเปกบรรลุข้อตกลงในหลักการที่จะปรับลดการผลิตน้ำมันลงสู่ระดับ 32.5 - 33.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในการประชุมอย่างไม่เป็นทางการที่ประเทศแอลจีเรียเมื่อเดือนที่แล้ว
ด้านนายคาลิด อัล-ฟาลิห์ รัฐมนตรีน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย กล่าวที่การประชุม "Oil & Money" ในกรุงลอนดอน วันนี้ว่า ประเทศผู้ผลิตน้ำมันหลายประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของโอเปกจะร่วมมือกับทางกลุ่มในการปรับลดการผลิต เพื่อพยุงราคาน้ำมันให้ปรับตัวขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยวันนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านลดลง 9% ในเดือนก.ย. สู่ระดับ 1.05 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีที่แล้ว หรือในรอบ 1 ปีครึ่ง สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.18 ล้านยูนิต
นอกจากนี้ กระทรวงยังรายงานว่า การอนุญาตก่อสร้างบ้าน ซึ่งเป็นข้อมูลที่ทำให้เห็นแนวโน้มของการเริ่มสร้างบ้านในอนาคต พุ่งขึ้นเกินคาด 6.3% ในเดือนก.ย. มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว สู่ระดับ 1.23 ล้านยูนิต ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.17 ล้านยูนิต จากระดับ 1.15 ล้านยูนิตในเดือนก่อนหน้า
ขณะเดียวกันนักลงทุนรอดูรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีกำหนดเปิดเผยในเช้าวันพรุ่งนี้ตามเวลาไทย เพราะอาจบ่งชี้แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด