ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์ (28 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลต่อข่าวที่ว่า สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) เตรียมรื้อคดีการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมล์ส่วนตัวของนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 3 ของสหรัฐที่มีการขยายตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้นั้น อาจเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,161.19 จุด ลดลง 8.49 จุด หรือ -0.05% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,190.10 จุด ลดลง 25.87 จุด หรือ -0.50% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,126.41 จุด ลดลง 6.63 จุด หรือ -0.31%
ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ขยับขึ้น 0.1% ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลง 0.7% และดัชนี NASDAQ ร่วงลง 1.3%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดอ่อนแรงลง หลังจากมีรายงานข่าวว่า นายเจมส์ โคมีย์ ผู้อำนวยการ FBI ได้ส่งหนังสือไปยังสภาคองเกรสเมื่อวานนี้ โดยระบุว่า FBI พบว่ามีอีเมล์ใหม่ของนางฮิลลารี ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมล์ส่วนตัวของนางฮิลลารี แม้ว่า FBI ประกาศปิดคดีดังกล่าวไปในเดือนก.ค.ก็ตาม
การเปิดเผยเรื่องดังกล่าว ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ว่า FBI อาจจะรื้อฟื้นคดีดังกล่าวของนางฮิลลารีขึ้นมาใหม่ ขณะที่เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันก็จะถึงกำหนดการเลือกตั้งในวันที่ 8 พ.ย.
นายโคมีย์ระบุว่า มีการเปิดเผยอีเมล์ใหม่ดังกล่าวเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ต้องพิจารณาใหม่อีกครั้งต่อข้อมูลของรัฐบาลที่ความอ่อนไหว ซึ่งมีการส่งผ่านเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวของนางฮิลลารี ขณะที่ดำรงตำแหน่งรมว.ต่างประเทศสหรัฐ
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า จีดีพีไตรมาส 3 ของสหรัฐที่ขยายตัวแข็งแกร่งเกินคาดนั้น อาจเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้เฟดตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ตัวเลขประมาณการเบื้องต้นสำหรับการขยายตัวของจีดีพีประจำไตรมาส 3 อยู่ที่ระดับ 2.9% โดยสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 2.5% จากแรงหนุนของการส่งออก และการลงทุนด้านสินค้าคงคลัง ถึงแม้การใช้จ่ายของผู้บริโภคชะลอตัวลง
การขยายตัวที่ระดับ 2.9% ในไตรมาส 3 ถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี หรือนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2014 หลังจากเศรษฐกิจสหรัฐมีการเติบโต 1.4% ในไตรมาส 2 และ 0.8% ในไตรมาส 1 ขณะที่มีอัตราการขยายตัวเฉลี่ย 1.1% ในช่วงครึ่งปีแรก
หุ้นอเมซอน ซึ่งเป็นเจ้าของเว็บไซต์ Amazon.com ร่วงลง 5.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรสุทธิประจำไตรมาส 3/2559 ที่ระดับ 252 ล้านดอลลาร์ หรือ 52 เซนต์ต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 85 เซนต์ต่อหุ้น
หุ้นเอ็กซอน โมบิล ดิ่งลง 2.46% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรรายไตรมาสลดลง 38% ขณะที่หุ้นเชฟรอน ดีดตัวขึ้น 3.9% หลังจากบริษัทสามารถพลิกกลับมาทำกำไรในไตรมาส 3 ภายจากที่ประสบภาวะขาดทุนติดต่อกัน 3 ไตรมาส
หุ้นเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมน้ำมันสหรัฐ ดีดตัวขึ้น 8.4% หลังจากวอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า บริษัทเจเนอรัล อิเลคทริค (GE) ซึ่งเป็นบริษัทด้านอุตสาหกรรมรายใหญ่ของสหรัฐ กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อควบรวมธุรกิจด้านน้ำมันและก๊าซกับเบเกอร์ ฮิวจ์
หุ้นเฮอร์ชีย์ ผู้ผลิตช็อคโกแลตรายใหญ่ ปรับตัวขึ้น 7.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด
นักลงทุนจับตาการประชุมเฟดในวันที่ 1-2 พ.ย.นี้ โดยมีกระแสคาดการณ์ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ และอาจมีการส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.