ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (1 พ.ย.) โดยตลาดปิดในแดนลบติดต่อกัน 3 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ หลังจากมีข่าวว่าสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) เตรียมรื้อคดีการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมล์ส่วนตัวของนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต ซึ่งข่าวดังกล่าวส่งผลให้คะแนนนิยมของนางฮิลลารี และนายโดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากพรรรีพับลิกัน สูสีกันอย่างมาก นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากกระคาดการณ์เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,037.10 จุด ร่วงลง 105.32 จุด หรือ -0.58% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,153.58 จุด ลดลง 35.55 จุด หรือ -0.69% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,111.72 จุด ลดลง 14.43 จุด หรือ -0.68%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐ หลังจากที่ผู้อำนวยการ FBI ส่งสัญญาณว่า อาจจะรื้อฟื้นคดีการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมล์ส่วนตัวของนางฮิลลารีขึ้นมาใหม่ ในขณะที่เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันก็จะถึงกำหนดการเลือกตั้งในวันที่ 8 พ.ย.
ผลสำรวจล่าสุดของเอบีซี นิวส์/วอชิงตัน โพสต์ ระบุว่า ข่าวการรื้อคดีของ FBI ส่งผลให้คะแนนนิยมของนายทรัมป์ขยับขึ้นมาอยู่เหนือนางฮิลลารีอยู่ 1 จุด ขณะที่ผลสำรวจจากเรียลเคลียร์โพลิติกส์ระบุว่า นางฮิลลารีมีคะแนนนิยมนำหน้านายทรัมป์อยู่เพียง 2.2 จุด จากเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนที่มีคะแนนนำอยู่กว่า 7 จุด
นอกจากนี้ นักลงทุนยังระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่การประชุมระยะเวลา 2 วันของเฟดจะเสร็จสิ้นลงในวันที่ 2 พ.ย. ขณะที่ผลสำรวจ CNBC Fed Survey พบว่า นักวิเคราะห์ที่ถูกสำรวจทั้ง 100% เชื่อว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 1-2 พ.ย. แต่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมในวันที่ 13-14 ธ.ค.
นักวิเคราะห์จำนวน 55% ระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้เฟดไม่ต้องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 พ.ย. โดยเฟดไม่ต้องการที่จะส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้ง
ขณะเดียวกันผลสำรวจยังบ่งชี้ว่า อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 1.09% ภายในช่วงสิ้นปีหน้า และระดับ 1.81% ในช่วงสิ้นปี 2018 โดยตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวลดลงจากเดือนก.ย.
ตลาดได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างของสหรัฐร่วงลง 0.4% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนก.ย.
หุ้นไฟเซอร์ ร่วงลง 2% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไร 1.32 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 โดยลดลง 38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนรายได้ของบริษัทร่วงลง สู่ระดับ 1.305 หมื่นล้านดอลลาร์ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
หุ้น Tronc ซึ่งเป็นผู้พิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือพิมพ์ Los Angeles Times และ Chicago Tribune ดิ่งลง 12% หลังจากบริษัท Gannett ประกาศยุติการเข้าซื้อกิจการของ Tronc โดยข่าวดังกล่าวส่งผลให้หุ้น Gannett ร่วงลง 2%
หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ร่วงลงมากกว่า 1% หลังจากธนาคารเปิดเผยกำไร 3.47 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 โดยลดลง 6% จากระดับ 3.68 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ส่วนหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ดีดตัวขึ้น 4% หลังจากบริษัทสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ 1.4 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 ปีนี้ เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2558 ที่ขาดทุน 6.1 พันล้านดอลลาร์ โดยผลประกอบการที่ดีขึ้นนั้นมาจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการของบริษัท บีจี กรุ๊ป และการปรับลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนต.ค.จาก ADP, ดัชนีภาวะธุรกิจนิวยอร์กเดือนต.ค. และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA)