ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (3 พ.ย.) โดยดาวโจนส์ปรับตัวลงติดต่อกัน 6 วันทำการ ขณะที่ดัชนี S&P 500 ทำสถิติร่วงลงติดต่อกัน 8 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ หลังจากคะแนนนิยมของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน เริ่มตีตื้นเข้าใกล้นางฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นเฟซบุ๊ก ภายหลังจากบริษัทคาดการณ์ว่า รายได้ในไตรมาส 4/2559 อาจชะลอตัวลง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,930.67 จุด ลดลง 28.97 จุด หรือ -0.16% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,058.41 จุด ลดลง 47.16 จุด หรือ -0.92% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,088.66 จุด ลดลง 9.28 จุด หรือ -0.44%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งสหรัฐ หลังจากผลสำรวจระบุว่า คะแนนนิยมของนายทรัมป์เริ่มตีตื้นเข้าใกล้คู่แข่งอย่างนางฮิลลารี โดยนักลงทุนกังวลว่า หากนายทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ จะสร้างความปั่นป่วนต่อเศรษฐกิจ และการค้าระดับโลก จากนโยบายต่อต้านการค้าเสรีของเขา
ทั้งนี้ คะแนนนิยมของนางฮิลลารีเริ่มแผ่วลงนับตั้งแต่มีรายงานว่า สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) เตรียมรื้อคดีการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมล์ส่วนตัวของนางฮิลลารี ขณะที่เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันก็จะถึงกำหนดการเลือกตั้งในวันที่ 8 พ.ย.
ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากการที่หุ้นเฟซบุ๊กร่วงลงอย่างหนักถึง 6% หลังจากนายเดวิด เวห์เนอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินของเฟซบุ๊กเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า รายได้ของเฟซบุ๊กในไตรมาส 4 ปีนี้อาจจะขยายตัวในอัตราลดลง จากข้อจำกัดด้านโฆษณา เนื่องจากเฟซบุ๊กต้องคำนึงถึงการแสดงโฆษณาในระดับที่ไม่สร้างความรำคาญใจให้กับผู้ใช้ พร้อมระบุว่า ปี 2560 จะเป็นปีที่เฟซบุ๊กลงทุนเป็นมูลค่าสูงมาก ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นด้วย
การเปิดเผยดังกล่าวได้ฉุดหุ้นเฟซบุ๊กร่วงลง แม้ว่าทางบริษัทได้เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 ที่แข็งแกร่ง โดยระบุว่าตัวเลขกำไรอยู่ที่ 2.37 พันล้านดอลลาร์ และรายได้อยู่ที่ 7.01 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 6.92 พันล้านดอลลาร์
หุ้นฟิตบิท ผู้ผลิตเครื่องออกกำลังกายรายใหญ่ ทรุดฮวบลง 34% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในปีนี้ เนื่องจากความต้องการผลิตภัณฑ์ของบริษัทชะลอตัวลง
หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ปรับตัวลง หลังจากมีรายงานว่ากระทรวงยุติธรรมสหรัฐเตรียมยื่นดำเนินคดีกับบริษัทยาบางแห่ง ในข้อหากำหนดราคาสูงเกินไป โดยหุ้นมายแลน ร่วงลง 7% หุ้นเทว่า ฟาร์มาซูติคัล ดิ่งลง 9.5% หุ้นเอนโด อินเตอร์เนชั่นแนล ร่วงลง 19.5%
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 7,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 265,000 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.
ขณะที่ผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) พบว่า ดัชนีภาคบริการของ ISM มีการขยายตัวที่ระดับ 54.8 ในเดือนต.ค. ลดลงจากระดับ 57.1 ในเดือนก.ย. รวมทั้งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 56.0
นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนต.ค.ของสหรัฐ ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันนี้ เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย โดยตัวเลขดังกล่าวจะบ่งชี้แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ของเฟดในรอบ 10 ปี
ผลการสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์ระบุว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนต.ค.จะเพิ่มขึ้น 175,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 4.9% จากเดิมที่ระดับ 5.0%