ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (3 พ.ย.) โดยตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งในสหรัฐ และจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยุโรปขยับลงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนขานรับข่าวที่ว่า ศาลสูงสุดของสหราชอาณาจักรมีคำวินิจฉัยว่ารัฐบาลของสหราชอาณาจักรจะต้องขอการอนุมัติจากรัฐสภาเพื่อเริ่มต้นกระบวนการแยกตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) ก่อนที่รัฐบาลจะสามารถดำเนินการได้
ดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับขึ้นเพียง 0.01 จุด ปิดที่ 331.56 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,411.68 จุด ลดลง 2.99 จุด หรือ -0.07% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,325.88 จุด ลดลง 45.05 จุด หรือ -0.43% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,790.51 จุด ลดลง 54.91 จุด หรือ -0.80%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงเป็นส่วนใหญ่ หลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดส่งสัญญาณว่าอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. โดยถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นในการประชุมซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อวันพุธตามเวลาสหรัฐ
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปยังคงได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งสหรัฐ หลังจากผลสำรวจระบุว่า คะแนนนิยมของนายทรัมป์เริ่มตีตื้นเข้าใกล้คู่แข่งอย่างนางฮิลลารี โดยคะแนนนิยมของนางฮิลลารีเริ่มแผ่วลงนับตั้งแต่มีรายงานว่า สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) เตรียมรื้อคดีการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมล์ส่วนตัวของนางฮิลลารี ขณะที่เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันก็จะถึงกำหนดการเลือกตั้งในวันที่ 8 พ.ย.
อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงหนุนในระหว่างวัน หลังจากศาลสูงสุดของสหราชอาณาจักรมีคำวินิจฉัยเมื่อวานนี้ว่า รัฐบาลของสหราชอาณาจักรจะต้องขอการอนุมัติจากรัฐสภาเพื่อเริ่มต้นกระบวนการแยกตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) ก่อนที่รัฐบาลจะสามารถดำเนินการได้
ทั้งนี้ ศาลได้กำหนดให้รัฐบาลสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อคำวินิจฉัยดังกล่าวได้ในวันที่ 5-8 ธ.ค.
หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นขานรับผลประกอบการที่สดใส โดยหุ้นโซซิเอเต เจเนอราล (ซอคเจน) ธนาคารรายใหญ่อันดับ 2 ของฝรั่งเศส พุ่งขึ้น 5.5% หลังจากธนาคารเปิดเผยธนาคารมีกำไรสุทธิ 1.1 พันล้านยูโรในไตรมาส 3 แต่ตัวเลขดังกล่าวยังสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 790 ล้านยูโร
หุ้นไอเอ็นจี กรุ๊ป ธนาคารรายใหญ่ของเนเธอร์แลนด์ พุ่งขึ้น 2.3% หลังจากธนาคารเปิดเผยกำไรสุทธิในไตรมาส 3 อยู่ที่ 1.35 พันล้านยูโร (1.50 พันล้านดอลลาร์) เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่ระดับ 1.06 พันล้านดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนจากการขยายตัวของยอดการปล่อยเงินกู้และเงินฝาก
ส่วนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ พุ่งขึ้น 6.1% หุ้นบาร์เคลย์ส ดีดตัวขึ้น 1.8% และหุ้นลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป เพิ่มขึ้น 1.6%